Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ม.ค. 08, 2010, 04:08 PM
salam
ขอนำบทความสั้นๆส่วนหนึ่งจากเรื่องยาวมาลงให้อ่านกันเล่นๆนะคะ

บรรยากาศของทะเลยามพลบค่ำช่างให้ความรู้สึกเงียบเหงายิ่งนัก
แต่ยังดีที่มีเสียงคลื่นที่คอยขับกล่อมเป็นท่วงทำนองราวกับเสียงดนตรี...
ธรรมชาติช่างสร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์เอาไว้อย่างลงตัว
ใครนะที่เป็นผู้ออกแบบธรรมชาติเหล่านี้ขึ้นมา...
ดวงตะวันกำลังเคลื่อนตัวเองลงไปยังตรงเส้นขอบฟ้าทีละนิดๆ
เหมือนจะบอกว่าหน้าที่ของมันสำหรับวันนี้ใกล้จะหมดลงแล้ว...
นกกาใหญ่น้อยต่างบินกลับเข้ารัง...พวกมันต่างโผบินกลับไปยังรัง
รังที่ที่มีครอบครัวที่รอมันอยู่ข้างหลัง...
จะมีก็แต่เจ้าเหยี่ยวที่ยังคงกระพือปีกบินว่อนอย่างโดดเดี่ยว
อยู่เหนือบรรดาก้อนเมฆเหล่านั้น...
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...จะได้หยุดพัก...
"พ่อคะ
พ่อดูนั่นสิคะ"หนูน้อยวัยสิบขวบหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู
กำลังชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้าพร้อมกับถามบิดาด้วยความสงสัย
"พ่อคะ ทำไมเจ้าเหยี่ยวมันถึงบินอยู่ตัวเดียวบนท้องฟ้าล่ะคะ
ทั้งๆที่นกตัวอื่่นๆต่างก็บินกันเป็นฝูงๆ" บิดายิ้มและตอบลูกสาวไปว่า
"ก็เพราะว่าเจ้าเหยี่ยวน่ะมันเป็นถึงจ้าวแห่งท้องฟ้าไงล่ะลูก"
"จ้าวแห่งท้องฟ้า" หนูน้อยพูดตามบิดา แล้วถามต่อว่า
"จ้าวแห่งท้องฟ้า
ต้องอยู่ตัวเดียวหรือคะคุณพ่อ"
บิดายังคงยิ้มแล้วตอบลูกสาวตัวน้อยว่า
"คงงั้นมั้งลูก
ความยิ่งใหญ่มักมาพร้อมกับภาระหนักเสมอ
เจ้าเหยี่ยวมันคงกำลังทำหน้าที่ของมันอยู่ก็ได้
และอีกอย่าง อาจจะเป็นเพราะว่าเจ้าเหยี่ยวของลูกน่ะมันเก่ง
และก็มีสายตาที่เฉียบคม แฝงไปด้วยอำนาจ ทำให้ศัตรูของมันเกรงกลัว
ไม่กล้าเข้าใกล้มั้ง อันนี้พ่อก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะพ่อไม่ใช่เหยี่ยว...
แต่พ่อว่า...ต่อไปลูกสาวของพ่อคนนี้จะสามารถตอบคำถามนี้ได้แน่นอน"
บิดาหัวเราะและยกมือตัวเองลูบหัวลูกสาวพร้อมทั้งโยกไปมา
ด้วยความรักใคร่เอ็นดูแต่ลูกสาวตัวดียังไม่วายถามต่อว่า
"แล้วเหยี่ยวมันมีครอบครัวมั้ยคะ" บิดายังคงยิ้มและตอบว่า
"มีสิลูก ทำไมจะไม่มีล่ะ" แต่หนูน้อยยังคงคลางแคลง
ก่อนจะเอียงคอถามบิดาด้วยแววตาอยากรู้
"แล้วครอบครัวมันไปไหนซะล่ะคะ"
"ครอบครัวมันก็รอมันอยู่ที่รังไงล่ะลูก"ผู้เป็นบิดายังคงตอบคำถามลูกสาว
อย่างไม่รู้เบื่อในความขี้สงสัยของลูกสาว
"รัง...เหยี่ยวมีรังด้วยหรือคะ...หนูคิดว่่ามันจะพักอยู่บนก้อนเมฆนั่นซะอีก"
ผู้เป็นบิดาได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะชอบใจในความคิดของลูกสาวพลางอธิบายว่า
"ทำไมจะไม่มีล่ะลูก เจ้าเหยี่ยวมันก็ต้องมีรังไว้คอยเป็นที่พักพิง
แล้วรังของมันก็ไม่ได้อยู่บนก้อนเมฆหรอกลูก"
ลูกสาวยิ้มโชว์ฟันทั้งสามสิบสองซี่และไม่วายถามต่อ
"อ้าว...งั้นแล้วรังมันอยู่ที่ไหนล่ะคะ...ถ้าไม่ใช่บนก้อนเมฆนั่น"
บิดาหันไปยิ้มให้ลูกสาวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มว่า
"เอาไว้หนูโตขึ้นแล้วหนูจะรู้เอง...เชื่อพ่อ"
แม้แม่หนูน้อยจะยังคงสงสัยแค่ไหนแต่ก็พยักหน้ารับคำบิดา
แล้วทั้งสองต่างเงียบไปพักนึงก่อนที่แม่หนูน้อยจะทำลายความเงียบโดยการถามว่า
"พ่อคะ...พ่อว่าเหยี่ยวมันจะเหงามั้ย"บิดาเงียบไปชั่วครู่ก่อนตอบลูกสาวว่า
"จำคำพ่อไว้นะลูก...ว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาว"หนูน้อยขมวดคิ้ว
เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่บิดาพูด
เมื่อบิดาเห็นดังนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า
"พ่อว่าเรากลับกันดีกว่านะลูก
เดี๋ยวคุณแม่จะเป็นห่วง"
พูดจบผู้เป็นบิดาก็ดึงมือลูกสาวให้ลุกขึ้นจากแผ่นหิน
ที่ทั้งสองใช้นั่งมองท้องทะเล แม้มันจะอยู่บนผาที่ค่อนข้างสูงจากพื้นดิน
แต่ก็ไม่ได้ชันจนน่าหวาดกลัวนัก
พอลูกสาวลุกขึ้นมาได้ผู้เป็นบิดาก็กุมมือผู้เป็นลูกสาวเอาไว้มั่น
แล้วหันหลังเดินจากไปยังบ้านที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
ทิ้งความสงสัยในคำพูดทั้งหมดเอาไว้
คำพูดที่เด็กน้อยวัยสิบขวบไม่มีทางจะเข้าใจความหมายได้
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~...พ่อรักแม่ของเธอ รักด้วยหัวใจ รักและก็เชื่อใจ
...ถ้าหากว่าขอได้ เธอก็อยากได้ใครสักคนที่รักเธอได้
อย่างที่พ่อรักและเชื่อใจแม่
ไม่รู้ว่าเธอจะขอมากไปรึเปล่า
รักแท้มีจริงใช่มั้ยคะพ่อคนเป็นลูกถามบิดา
พร้อมกับก้มมองและคลึงแหวนไพลินสีน้ำเงินที่นิ้วเบาๆ
คนเป็นพ่อลูบหัวลูกสาวแผ่วเบาก่อนจะยิ้มกว้างแล้วตอบว่า
มีจริงสิหนุ่ย แต่กว่าจะเจอรักแท้ เราก็ต้องยอมเสียอะไรๆไปบ้าง
ต้องยอมเจ็บบ้างเป็นธรรมดา
คนเป็นลูกเอียงคอมองคนเป็นพ่อด้วยแววตาสงสัย บิดาเลยอธิบายเสริมว่า
ดูอย่างฟันของเราสิ กว่าจะมีฟันแท้ เราก็ต้องเสียฟันน้ำนม
ที่มีมาแต่กำเนิดไปทีละซี่ ฟันแท้ก็จะค่อยๆโผล่ออกมาให้เห็นทีละซี่
บางครั้งเจ็บจนน้ำตาเล็ด ปวดจนแก้มบวมไปหลายวัน เพราะฟันผุ
หนุ่ยคงจำความรู้สึกนั้นได้ใช่มั้ยลูกลูกสาวยิ้มขันกับคำเปรียบเปรยของบิดา
ค่ะ จำได้ว่าร้องไห้ลั่นบ้าน เดินวนรอบบ้านไปหลายรอบ เพราะอยู่ไม่สุข
ปวดฟันจนไม่มีที่จะนอน เพราะจะนอนก็นอนไม่ได้
เหมือนโลกแคบจนเหลือแค่นิดเดียว พยายามหาอะไรมาอุดตรงรูฟันที่มันผุ
หายไปแค่แป๊บเดียว ความเจ็บก็กลับมาอีก
แต่พอพ่อพาไปหาหมอก็หายเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ
แม้จะดูโล่งๆไปบ้าง แต่ก็ไม่เจ็บอีกเลย จนได้ฟันแท้มาเนี่ยแหล่ะค่ะ
คนเป็นลูกเอ่ยด้วยรอยยิ้มเมื่อนึกถึงตอนที่ปวดฟัน
แล้วต้องตัดใจถอนมันทิ้งไป และเลิกคิ้วราวกับจะบอกบิดาเป็นนัยๆว่า
หนูรู้นะว่าพ่อคิดอะไรอยู่
แต่ก็ต้องอึ้งกับคำพูดต่อมาของบิดาที่ว่า
แต่สุดท้าย ฟันแท้มันก็ต้องจากไป ไม่มีสิ่งใดจะอยู่กับเราไปตลอดหรอกหนุ่ย
เราต้องทำใจทุกๆครั้งเวลาที่เราต้องถอนฟันแต่ละซี่ทิ้ง
เพราะจะยื้อไว้ก็มีแต่จะเจ็บ บางซี่ก็จากไปโดยไม่ได้ร่ำลา
ไม่มีวี่แววว่าจะโยกเยก แต่กลับทิ้งเหงือกคู่ใจในปากของเราไปเฉยเลย
บางซี่เราก็พอยื้อเวลาได้บ้าง ทั้งอุดทั้งครอบ
ทำทุกวิถีทางให้มันได้อยู่กับเราไปนานๆ
แต่สุดท้ายมันก็ต้องทิ้งเราไปอยู่ดี
บางคนที่อายุมากหน่อยก็ต้องอยู่เพื่อเรียนรู้การสูญเสียมากขึ้น
แล้วสุดท้ายก็เหลือผมสีดำไม่กี่เส้นกับฟันแท้ไม่กี่ซี่ที่คอยบอกเราว่า...
ฉันจะไปอยู่กับเธอในหลุมด้วยนะ...
รึบางคนก็แทบจะไม่มีฟันแท้เหลือเลยซักซี่ก่อนตายด้วยซ้ำ
คำพูดเจือแววตลกของบิดาทำให้หญิงสาวได้คิด
เธอพอจะเข้าใจความนัยนั้นได้บ้าง
หนุ่ยไม่สงสัยเลยว่า ทำไมเมื่อเรายิ่งโตขึ้น เพื่อนของเรา
และคนที่พร้อมจะเดินไปกับเราจึงค่อยๆน้อยลงเรื่อยๆ
จนสุดท้ายก็เหลือแค่ไม่กี่คนหรือแทบไม่เหลือใครเลยด้วยซ้ำ
เหมือนครั้งนึงที่เราเคยยิ้มสวยด้วยฟันเต็มปาก
หากวันนึงเราต้องสูญเสียมันไป ก็อย่าได้สูญเสียรอยยิ้มไปพร้อมกับมันเลย
แม้ว่าจะมีฟันบางซี่ที่หายไป แม้ว่าเราจะยิ้มไม่สวยเท่าเดิม
แต่เราก็ต้องยิ้ม เราต้องกล้าที่จะฉีกยิ้มให้โลกเห็น
เราต้องยิ้มแม้ว่าวันนึงจะไม่มีฟันสักซี่ให้เราโชว์แล้วก็ตาม
คนเป็นลูกยิ้ม น้ำตาปริ่ม แล้วโอบกระชับเอวบิดาไว้แน่น
เธอไม่อยากสูญเสียฟันแท้ซี่ใดในชีวิตไปเลย
โดยเฉพาะซี่นี้...
อยากจะให้มันอยู่กับเธอแบบนี้ อยากยิ้มโชว์ฟันแบบนี้ไปจนวันตาย
เราทุกคนมีฟันแท้เท่าๆกัน แต่ละซี่ไม่เหมือนกัน แต่มันก็มีอย่างละซี่
ความรักที่เราให้มันจึงไม่เหมือนกัน
บางซี่เราก็ละเลยจนมันต้องจากเราไปก่อนเวลาอันควร
เพราะหากซี่ใดหลุดไป ก็จะไม่มีฟันซี่ใหม่งอกมาอีกแล้ว...
นอกจากเราจะต้องใส่ฟันปลอม อยู่กับของปลอมท่ีไม่มีทางดีกว่าของแท้
พ่อจึงอยากให้หนุ่ยดูแลรักษาฟันแท้ทุกๆซี่ที่มีอยู่ในวันนี้ให้ดีที่สุด
เผื่อวันใดที่เราต้องถอนมันทิ้งหรือมันทิ้งเราไป
เราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายหรือเสียใจที่ไม่ได้ดูแลมันให้ดี
แล้วสุดท้ายหนุ่ยจะรู้ว่ามีฟันแท้แค่ไม่กี่ซี่ที่จะอยู่กับหนุ่ยไปจนวันตาย
แต่ขอให้หนุ่ยเชื่อว่า รักแท้ไม่ได้มีแค่คนเดียวเช่นรักของหนุ่มสาว
อย่างที่ใครๆเฝ้าฝันหรอกนะ เหมือนฟันแท้ที่ไม่ได้มีแค่ซี่เดียว
อย่าให้ความเจ็บจากการที่เราต้องสูญเสียฟันสักซี่สองซี่ไป ทำให้เรายิ้มไม่ออก
หมดความมั่นใจที่จะฉีกยิ้มต่อไป ไม่กล้าหัวเราะ แล้วละเลยฟันที่เหลือ
เพราะเรายังมีฟันแท้ที่เราต้องดูแลเอาใจใส่อีกหลายซี่
หนุ่ยยังมีพ่อ มีพี่น้อง มีเพื่อนๆที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างหนุ่ย
พวกเขาเหล่านั้นคงอยากเห็นรอยยิ้มของหนุ่ยมากกว่าน้ำตา
คนเป็นลูกยิ้มอย่างซึ้งใจในสิ่งที่บิดาสอน เธอจะลองทำอย่างที่บิดาแนะนำ
แม้บางครั้งการตัดสินใจบางอย่างจะทำให้อะไรๆเปลี่ยนไป
แต่เธอมั่นใจว่าฟันแท้มันก็ย่อมเป็นฟันแท้อยู่วันยันค่ำ
แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไร เธอจะรักษามันให้ดีที่สุด
เพราะหากวันนึงต้องสูญเสียมันไป เธอก็พร้อมที่จะอยู่อย่างไร้ฟันแท้
แต่จะไม่ขออยู่กับฟันปลอม
เพราะเธอรู้ว่าอะไรที่สูญเสียไปแล้ว ย่อมไม่มีอะไรมาทดแทนได้
เหมือนความรู้สึกที่สูญเสียไป อะไรก็มาทดแทนไม่ได้เช่นกัน
เราต้องยิ้ม แม้ฟันจะหลอก็ตามใช่มั้ยคะพูดเสร็จคนเป็นลูกก็หัวเราะร่า
ทำเอาผู้เป็นบิดาหัวเราะตามไปด้วย
อุ้ย! ฟันหลอหญิงสาวยิ้มล้อพร้อมกับมองรอยยิ้มของบิดาไปด้วย
บิดาที่ปัจจุบันมีฟันแท้ไม่เท่ากับที่เธอมี...
เลยไม่วายหยอกเย้าคนเป็นพ่ออย่างนึกสนุกด้วยความเคยชิน
ชายสูงวัยจึงโยกศรีษะลูกสาวด้วยความรักใคร่และเอ็นดู
ดีใจที่ลูกยิ้มได้อย่างนี้ แล้วก็หวังว่าลูกสาวจะไม่แอบเศร้าเวลาอยู่คนเดียว

ปล.ส่วนหนึ่งจากเรื่องยาว...เป็นเรื่องราวของพ่อกับลูกสาวค่ะ...
ความรัก บางครั้งก็มองไม่เห็น อาจต้องใช้หัวใจส่อง
ถึงจะมองเห็นรัศมีสีขาวเรืองรองของมัน...
วัสลามค่ะ
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: มี.ค. 20, 2010, 09:23 PM
salam
วัตถุที่เรามองไม่เห็น อาจเกิดจากสาเหตุ 2 ประการ นั้นคือ...
1. เพราะว่าวัตถุดังกล่าวอยู่ในที่ที่ไม่มีแสงส่องไปถึง
กับ
2.เพราะว่าเราตาบอดหรือตาของเราไม่สามารถมองเห็น
เลยมองไม่เห็นวัตถุดังกล่าว แม้ว่าความจริงแล้ว
วัตถุดังกล่าวนั้นจะมีแสงส่องไปถึงหรือไม่ก็ตาม... วัสลามค่ะ
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: ILHAM Date: มี.ค. 20, 2010, 10:36 PM
salam
วัตถุที่เรามองไม่เห็น อาจเกิดจากสาเหตุ 2 ประการ นั้นคือ...
1. เพราะว่าวัตถุดังกล่าวอยู่ในที่ที่ไม่มีแสงส่องไปถึง
กับ
2.เพราะว่าเราตาบอดหรือตาของเราไม่สามารถมองเห็น
เลยมองไม่เห็นวัตถุดังกล่าว แม้ว่าความจริงแล้ว
วัตถุดังกล่าวนั้นจะมีแสงส่องไปถึงหรือไม่ก็ตาม...
วัสลามค่ะ
เหตุผลล่ะ
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: มี.ค. 20, 2010, 11:26 PM
^
^
เนื่องจากของบางอย่างใกล้ตา แต่เราก็มองไม่เห็น
กับของบางอย่างอยู่ไกลเกินสายตาจะมองเห็น
เช่นดวงดาวท่ีอยู่ไกลโพ้นออกไป...
หรือไม่ต้องมองให้ไกล ลองเทียบกันระหว่างคนสายตาปกติ
กับสายตาไม่ปกติดู เราจะเห็นว่า ทั้งสอง มีระดับการมองเห็นที่แตกต่างกัน
หรือ หากมองอีกแง่นึง...เช่น...
อนาคตที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ และเราก็มิอาจรู้ได้ว่า
หนทางข้างหน้าจะสว่่างสดใสหรือว่ามืดมนมัวหมอง
เพราะบางทีอาจมีแสงสว่างรอเราอยู่ข้างหน้า
หรืออาจจะไม่มีแสงสว่างรอเราอยู่เลย...
อนาคตจึงเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นได้...
แต่เราก็ต้องเดินต่อไป แม้จะมองไม่เห็นหนทาง ว่าไหม

วัลลอฮุอะลัม
และหากไม่มีแสง เราจะมองอะไรเห็นหรือ

และต่อให้มีแสง แต่เราไม่มีความสามารถจะมองเห็นได้หรือเราตาบอด
เราจะเห็นได้อย่างไรหรือ

และต่อให้เราตาดี หรือต่อให้มีแสงหรือไม่มีแสง ก็ไม่มีความหมาย
หากเราปิดตา...
ปล.บางคนก็อยากปิดหูปิดตา หนีหน้ากับบางสิ่งที่ไม่อยากพบเห็นเช่นกัน
มันอยู่ที่ว่าเราจะสู้หรือหนี
วัสลามค่ะ
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: AUZULODEEN Date: มี.ค. 22, 2010, 10:52 AM
จะสู้ก็เหนื่อยล้า หรือจะหนีก็ไม่ไช่วิสัย
อยู่นิ่งๆก่อนแล้วกัน
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: มี.ค. 23, 2010, 08:30 AM
^
^
เพื่อนเคยพูดให้ฟังว่า...แค่ปิดตาตัวเอง คนอื่นก็มองไม่เห็นเราแล้ว
อยากทำอะไรบ้าๆบอๆก็ทำไปเลย ไม่มีใครเห็น 55555
ก็ได้แต่ขำงิ เชื่อเถอะค่ะ บางคนทำอย่างนั้นจริงๆ
หมายถึง พยายามปิดหูปิดตาตัวเอง และคิดว่าจะรอดจากสายตาคนอื่นไปได้
เปล่าเลย เพราะคนที่มองไม่เห็นจริงๆ ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นเราต่่างหาก
ที่ไม่สามารถรับรู้อะไรจากการกระทำของตัวเองได้เลย...
แต่ในทางกลับกัน หากเราไม่มองคนอื่นจนเกินไป
เราจะมีความมั่นใจในการกระทำของเรามากขึ้น...
เช่น เราอยากเปิบข้าวในโรงแรมชื่อดัง หากเราปิดตากิน
เราก็ไม่รู้ไม่เห็นหรอกค่ะว่าคนอื่ืนเขามองเรายังไงบ้างกับสิ่งที่เราทำ
ไม่พรื่อ(มั้ง) แต่คงมีคนอีกหลายคนที่จะจดจำเราไปจนวันตาย 55555
อยากให้คนจดจำทำไม่ยากค่ะ แต่การจะทำให้คนประทับใจไปจนตายนี่สิ...

ดังนั้น...ลองปิดตาดูบ้างในบางสถานการณ์แต่อย่าปิดใจนะคะ...

Re: แสงที่มองไม่เห็น By: AUZULODEEN Date: มี.ค. 23, 2010, 08:57 AM
ปิดตาใช้มือปิดแล้วปิดใจใช้อะไรปิด
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: มี.ค. 23, 2010, 10:02 AM
ปิดตาใช้มือปิดแล้วปิดใจใช้อะไรปิด
"เจ้าอคติ"มั้งคะที่สามารถปิดกั้นใจคนได้ดีกว่่าอะไรๆ อิอิอิ
หากมี "เจ้าอคติ"เยอะๆ ก็อาจปิดใจได้มิดจมใจ(จะพิมพ์ว่ามิดจมดินก็ดูแปลกๆ

)ได้ค่ะ
เผลอๆ อาจไม่มีแสงใดผ่านทะลุเข้าไปถึงใจก็เป็นได้ ว่ามั้ยคะ เหอๆๆๆๆ
หากเราเตะโด่ง"เจ้าอคติ"ไปนอกโลกจนหมดสิ้น โลกนี้คงน่่าอยู่ขึ้นเยอะน่อ

อย่าถามต่อนะคะว่า จะเตะ"เจ้าอคติ"ไปนอกโลกได้อย่างไร
เพราะข้าน้อยไม่สามารถค่ะ กำลังเรียนรู้ศิลปะการป้องกันตัวอยู่
ไม่แน่ว่า ต่อไปอาจเตะเจ้านี่ออกนอกโลกได้ในสักวัน... 55555
แต่ปัญหาคือ ขาสั้นนี่แหล่ะค่ะ ถึงเตะได้ก็คงเตะไปได้ไม่ไกลมากนัก เหอๆๆๆ
แต่ว่าข้าน้อยมือยาวค่ะ เพราะว่ามือยาว สาวได้สาวเอา 55555
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: ILHAM Date: มี.ค. 23, 2010, 10:56 AM
รีบๆสาวเอาไว้เยอะๆนะ เดี๋ยวก็จะไม่ได้สาวแล้ว
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: a d n a n Date: มี.ค. 23, 2010, 12:17 PM
^
ใช้คำว่า เดี๋ยว หรอ 
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: ILHAM Date: มี.ค. 23, 2010, 12:57 PM
ลืมไป มันเป็น past simple
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ม.ค. 15, 2013, 10:21 PM
กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวของ"แสง"
วันนี้มาในบทความเร่ือง...
"อาทิตย์ยามอุทัย"
หลายคนคงรับรู้ได้ว่าโลกเราในวันนี้แตกต่างจากวันวานนัก
ภัยพิบัติต่างๆมีมากขึ้น ถี่ขึ้นทุกวัน ซึ่งภัยธรรมชาติเหล่านั้น
เป็นสิ่งที่เราไม่อาจควบคุมได้ อย่างชาวญี่ปุ่นที่ข้าพเจ้า
เคยมีโอกาสได้สัมผัส พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยโทษในสิ่งที่
ไม่อาจควบคุมได้ พวกเขาต่างพยายามต่อสู้และทำทุกอย่าง
ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนหลายๆครั้งพวกเขาก็ผ่านมันมาได้
และกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้เสมอ
…สำหรับข้าพเจ้า...พวกเขาเปรียบเหมือนอาทิตย์ยามอุทัย…
ที่ส่องแสงขับไล่ความมืดของชีวิต
และพร้อมจะเริ่มวันใหม่อีกครั้งอย่างไม่ย่อท้อ
…แม้จะต้องพบกับความมืดอีกสักกี่ครั้ง
แต่พวกเขาเชื่อว่่าพรุ่งนี้ยังมีตะวันให้เห็นอีก
…รวมทั้งภาพคนไทยที่ช่วยเหลือกันเมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่
ล้วนแล้วแต่สร้างความประทับใจให้ไม่รู้ลืม
ภัยพิบัติเหล่านั้นหาใช่อื่นใดไม่
นอกจากบททดสอบที่มนุษย์ต้องเผชิญ
เมื่อเรารู้ว่าเราสอบไม่ผ่าน
เราก็ต้องสอบซ่อมครั้งแล้วครั้งเล่า
หลายคนคงเคยตกอยู่ในสภาพเช่นดั่งอาทิตย์ยามอัสดง
ที่กำลังลาลับขอบฟ้า มีความมืดมิดรออยู่เบื้องหน้า
มีความเงียบเหงาและโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่เบื้องหลัง
ต้องพบกับการสูญเสีย การพลัดพราก
ผู้ที่เป็นดั่งอาทิตย์ยามอุทัยเท่านั้นที่จะสามารถช่วยเหลือ
ให้เหล่าอาทิตย์ยามอัสดงผ่านความมืดมิด
แล้วกลับมาเริ่มต้นวันใหม่ได้อีกครั้ง
…เรามนุษย์โลกเคยสูญเสียกันมามากพอแล้ว
และเราไม่ควรสูญเสียกันและกัน
"เลือด"ของเราทุกหยด
สามารถเป็นดั่งแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณได้ฉันใด
เราทุกคนก็สามารถเป็นเหมือนดั่งอาทิตย์ยามอุทัย
ที่จะส่องแสงแห่งอรุณรุ่ง รุ่งโรจน์เรืองรองต่อไป
ไม่ดับลงจนกว่าจะสิ้นลมหายใจได้ฉันนั้น
หลายๆท่านที่อ่านบทความนี้
อาจจะยังคงจำกาพย์ด้านล่างนี้ได้…
“ก้าวมาเถิดมวลมิตร เป็นอาทิตย์ยามอุทัย
สว่างกระจ่างไกล เพื่อขับไล่ความมืดมน
เบิกฟ้าให้แจ่มใส เปิดหูตาประชาชน
แสงทองส่องสถล ให้ผู้คนได้ก้าวเดิน”
ขอส่งกำลังใจให้เหล่าอาทิตย์ยามอุทัยให้ก้าวต่อไป
ไม่ชิงพลบ ชิงตกจากฟ้าไปก่อนถึงเวลา…
ปล.ว่าแล้วก็คิดถึงบรรยากาศเก่าๆในวันวาน
ที่เคยเกิดขึ้นในเว็บแห่งนี้...
วัสลามค่ะ
^^
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ธ.ค. 01, 2013, 10:33 PM
นึกถึงเรื่องราวของ "แสง" อีกครั้ง...
ยังผลให้นึกมาถึงกระทู้นี้ที่ได้เริ่มเขียนมาตั้งแต่ยังอยู่ในอีกดินแดนหนึ่ง...
วันนี้กลับนึกถึงพ่อ...รู้สึกว่าพ่อเป็นครูคนสำคัญเลยในชีวิต...
แม่ก็เฉกเช่นกัน...
ทั้งสองคือลำแสงอันล้ำค่าราวกับอัญมณีที่ไม่อาจมีมนุษย์คนใดเทียบค่านี้ได้เลยจริงๆ
ยังเคยนึกเลยว่า...อดีตที่ผ่านมา...เราได้ทำให้ท้ังสองเสียใจไปมากน้อยแค่ไหน...
วันที่มีเหตุการณ์ร้้ายๆรุมล้อมเรา ไม่ใช่ใครที่ไหนที่กังวลใจแล้วรีบโทรมาหาเรา
ด้วยน้ำเสียงห่วงใยอย่างแท้จริง ห่วงใยเราอย่างเป็นธรรมชาติ
เพราะนั่นคือธรรมชาติของพ่อกับแม่ในการที่จะห่วงใยเรา...
ไม่มีการปรุงแต่งอะไรลงไป...รู้สึกได้เลยว่ามัน"บริสุทธิ์"
ไม่ว่าเราจะรักและห่วงใยใครมากมายแค่ไหน
แต่สุดท้้ายก็ไม่มีใครที่จะห่วงใยเราได้เท่าบุคคลทั้งสอง...
ที่เป็นดั่งแสงและเงาให้กันและกันเสมอมา...
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: BasemDeen Date: ธ.ค. 03, 2013, 05:58 AM
แหม....นึกว่าแผลที่มองไม่เห็น
กะจะเข้ามาแชร์ซะหน่อย พอดีของเราเพียบ โชคดีที่อ่านก่อน ไม่งั้น โพล๊ะ......