Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ก.ย. 17, 2009, 05:15 PM
อีกอย่าง โด่โด่ รับเอานิสัยของคนญี่ปุ่นมาเต็มๆเลย
คือ สังเกต และชอบจดบันทึก เคยได้ยินว่า
ในกระเป๋าเด็กญี่ปุ่นทุกคนจะมีปากกา กับสมุดบันทึกเสมอ
ใช่ป่าว
คุณญี่ปุ่นเป็นแบบนี้หรอครับ
salam
คำตอบอยู่ด้านบนแล้วค่ะ...ร่ายซะย้าวยาวเลยค่ะ...เฮะๆ
ปล.มีสุภาษิตนึงที่โด่โด่ยึดอยู่ตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน
...รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง...
คนญี่ปุ่นเขาก็ใช้กลยุทธนี้เหมือนกันค่ะ...
เลยอยากบอกว่า...เราไม่ได้เป็นเหมือนเขา
แต่เราเป็นเราที่เขาก็เป็นด้วยค่ะ...อิอิ
และหากเหมือนกันในเรื่องที่ดีก็น่าดีใจใช่มั้ยคะ
แต่ในความเหมือนย่อมมีความต่าง และในความต่างย่อมมีความเหมือน
คุณahmdว่ามั้ยคะ

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ
^_____________^
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ก.ย. 24, 2009, 01:33 AM
salam
กลับมาอีกครั้งกับบทความขยันแต่งค่ะ
"ความรักจากแสง"
ภาคที่2
"แสงจากไม้ขีดไฟ"
เคยมีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ที่ว่า
เจ้าไม้ขีดไฟก้านน้อยก้านหนึ่งแอบรักดอกทานตะวันแสนสวย
ที่มักจะแหงนมองแต่ดวงตะวัน...
ดอกทานตะวันที่ปักใจรักมั่นแต่ดวงตะวันที่ไม่ว่าดวงตะวันจะเคลื่อนตัวไปทิศใด
เจ้าดอกทานตะวันแสนสวยก็จะคอยเฝ้ามองและเฝ้าติดตามดวงตะวัน
ไปทุกหนทุกแห่งจนกว่าดวงตะวันของเธอจะตกดินอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
ด้วยหัวใจรักมั่นคงทั้งๆที่ดวงตะวันเองก็ไม่ได้หันมามองตนเองเลยแม้แต่น้อย
แต่เจ้าดอกทานตะวันก็ยังคงบานสะพรั่งอวดความงาม
ยังคงตื่นขึ้นมารับแสงตะวันในยามเช้าด้วยความหวัง
และก็ต้องสิ้นหวังลงทุกครั้งเมื่อมองดวงตะวันตกดิน
แต่เจ้าดอกทานตะวันก็ยังคงรอเช้าวันใหม่อีกครั้งอย่างไม่เคยนึกท้อ
หวังอยู่ลึกๆว่าดวงตะวันจะหันมามองความงามของตนบ้าง
และก็ยังรออยู่อย่างนี้ทุกวันจนกว่าจะร่วงโรยรา
เพราะตราบใดที่เจ้าดอกทานตะวันรู้ว่าดวงตะวันยังอยู่ ไม่หนีหายไปไหน
เจ้าดอกทานตะวันก็จะเฝ้าคอยเฝ้าแหงนมองดวงตะวันอยู่อย่างนี้ไม่ไปไหนเช่นกัน
แม้ว่าดวงตะวันจะไม่เคยเห็นและหันมามองดอกทานตะวันเลยก็ตาม
โดยมิเคยก้มมองลงมายังด้านล่างว่ามีเจ้าไม้ขีดไฟก้านน้อย
คอยแอบมองอยู่ด้วยใจรักมั่นเจ้าดอกทานตะวันแสนสวยอยู่เช่นกัน
ไม้ขีดไฟที่พยายามจุดตัวเองให้เกิดแสงสว่าง หวังเพียงแค่ให้ดอกทานตะวัน
หันมามองตนสักครั้งเท่านั้น...
แต่กว่าดอกทานตะวันจะหันมามองก็พบเพียงเศษผงเถ้าธุลีถ่าน
ของเจ้าไม้ขีดไฟเท่านั้น
เจ้าไม้ขีดไฟที่หวังจะส่องแสงน้อยๆให้ดอกทานตะวันเห็น
คอยอยู่เป็นเพื่อนเป็นแสงที่ให้ความอบอุ่นแก่ดอกทานตะวันในยามที่ไร้แสงตะวัน
แม้จะไม่อุ่นเท่าแสงตะวัน แต่มันก็ทำหน้าที่ของมันด้วยความรักและสมัครใจ
จนหยดสุดท้าย โดยไม่มีโอกาสได้เห็นดอกทานตะวันหันมามองตนเลยสักครั้งเดียว
ดูเหมือนเรื่องเล่าเรื่องนี้จะเป็นโศกนาฏกรรมความรักที่ไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย
หากมองในอีกมุมนึง มันก็มีความสวยงามอยู่ไม่น้อย
เจ้าดอกทานตะวันนั้นเฝ้ามองดวงตะวันด้วยความหลงไหลในแสงสว่างอันเจิดจ้า
และความยิ่งใหญ่ของดวงตะวัน โดยมิได้หันมองสิ่งอื่นใดรอบกาย
แต่ก็เป็นรักเดียวใจเดียวและมั่นคง เพียงแต่เป็นรักที่ได้แค่มองโดยมิได้ทำอะไรเลย
ต่างจากเจ้าไม้ขีดไฟอันน้อยที่ก็เจียมตัวอยู่ตลอดเวลาว่าตนนั้นต่ำต้อย
เพียงแต่คิดว่าตนน่่าจะลองทำอะไรสักอย่าง ไม่แน่ว่าเจ้าดอกตะวัน
อาจจะหันมามองและเห็นคุณค่าความรักของตนบ้างก็ได้
ทั้งๆที่รู้ว่าต้องเผาตัวเองก็ยังอยากจะลองทำ
สุดท้ายดอกทานตะวันก็ร่วงโรยราโดยที่ดวงตะวันไม่เคยเหลียวมอง
ส่วนเจ้าไม้ขีดไฟก็กลายเป็นขี้เถ้าโดยที่ดอกทานตะวันไม่เคยเห็นคุณค่า
ของแสงน้อยๆของตน นอกจากเศษขี้เถ้าที่ปลิวว่อนไปในอากาศเท่านั้น
ทว่า
ความสวยงามที่หาได้จากโศกนาฏกรรมรักคร้ังนี้สำหรับคนเขียนก็คือ
..."แสงแห่งความหวัง"
แม้ไม่ได้อะไรคืนมาแต่ก็ทำให้อยากมีชีวิตอยู่เพื่อมองดูคนรักและสู้ทนได้
ด้วยเพราะความหวัง
...ความหวังก่อให้เกิดความรัก
และความรักก็ทำให้มีความหวัง
หากแสงแห่งความหวังยังไม่หมด แสงแห่งรักก็จะไม่มีวันมอดลง
ไม่ว่ารักนั้นจะเป็นรักแบบใดก็ตาม
...แสงสว่างของไม้ขีดไฟนั้น หาใช่แสงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
หากเป็นแสงที่ไม่ทันได้้มอง เพราะมีแสงของดวงตะวันคอยบดบังความสว่าง
ดอกทานตะวันเลยไม่มีโอกาสได้รู้ได้เห็นว่าแสงที่ว่านั้นเป็นอย่างไร
สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ก็แค่กองขี้เถ้าที่บอกเล่าว่าก่อนหน้านั้นเคยมีแสงสว่างเกิดขึ้นมาก่อน...
แสงที่สัมผัสได้ แต่ไม่รู้สึกถึงการมี...
...บางครั้งบางสิ่งบางอย่างและบางเรื่อง เหตุผลก็ไม่สามารถอธิบายมันได้...
โดย...."ข้าพเจ้าเอง"
_________________________________________________________________
แล้วจะมาต่อภาคจบพร้อมบทสรุปของเรื่องราวความรักจากแสง
กันในคราวหน้านะคะ...
วัสลามุอะลัยกุมค่ะ
^_____________^

Re: แสงที่มองไม่เห็น By: มัยซูน Date: ก.ย. 24, 2009, 08:52 AM
"แสงที่มองไม่เห็น"
ถ้าอยากเห็นอย่ามองด้วยตา แต่ให้มองด้วยใจ
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: เหรียญ 2 ด้าน Date: ก.ย. 24, 2009, 11:52 AM
"แสงที่มองไม่เห็น"
ถ้าอยากเห็นอย่ามองด้วยตา แต่ให้มองด้วยใจ
มองด้วยสมองด้วย
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: ILHAM Date: ก.ย. 24, 2009, 01:08 PM
มองด้วยปาก
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ก.ย. 24, 2009, 01:15 PM
salam
มองยังไงอิลฮาม ช่วยสอนพี่ด่วน...
ข้องใจสุดๆเลยนิ...

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ
^___________^
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: ILHAM Date: ก.ย. 24, 2009, 02:12 PM
มองด้วยปาก มากด้วยปอง
ชีวิตต้องอยู่อย่างมีความหวัง
5555
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ก.ย. 29, 2009, 02:49 PM
salam
"ทุกสัมผัสสามารถรับรู้ได้ถึงการมี"
วัลลอฮุอะลัม
แล้วจะมาต่อภาคจบของเร่ื่องย่อยให้นะคะ
วัสลามุอะลัยกุม
^__________^
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: เหรียญ 2 ด้าน Date: ก.ย. 29, 2009, 03:37 PM
มองด้วยปาก มากด้วยปอง
ชีวิตต้องอยู่อย่างมีความหวัง
5555
ใช่ครับ
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: vrallbrothers Date: ก.ย. 29, 2009, 03:41 PM
salam
การมองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเสมอไป...
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: as-satuly Date: ก.ย. 29, 2009, 03:48 PM
ขอขอบคุณเจ้าของหัวข้อครับ - ขอต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา โปรดทรงตอบแทนความดีงามแก่ท่านด้วยเถิด - อามีน ยาร็อบ
และก็อยากให้พี่น้องได้ทำการนำเสนอเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับเรื่องในหัวข้อดังกล่าวกันต่อไป
และสุดท้าย คำว่า แสงที่มองไม่เห็นนั้น ถือว่าเป็นแสงที่เราสามารถมองได้หลากหลายประเด็น แต่ทว่าแสงที่มองไม่เห็นนี้แหละ หากว่าเราพยายามคำนึงและตระหนักด้วยความบริสุทธิ์อย่างแท้จริงให้มากแล้ว แสงที่มองไม่เห็นนี้แหละ สามารถช่วยเราได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ลองมองภาพในอีกมุมหนึ่งดูซิ...วัสสลามุอะลัยกุม
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ก.ย. 30, 2009, 01:35 AM
salam
อัลฮัมดุลิลละฮฺ
ญะซากัลลอฮุคอยรอนสำหรับทุกๆความเห็นค่ะ
คราวนี้ได้โอกาสนำภาคจบพร้อมบทสรุปของเรื่อง"ความรักจากแสง"
มานำเสนอค่ะ
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ก.ย. 30, 2009, 01:43 AM
ความรักจากแสง
ภาคที่3
แสงจากตะเกียง
คนทั่วไปสามารถมองเห็นได้ก็เพราะแสงสว่าง
...แต่คนที่อยู่ในโลกมืด
จะมีแสงใดส่องไปถึงพวกเขาได้
...แล้วคนตาบอด
เขาใช้อะไรนำทาง
มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่เคยฟังเกี่ยวกับ
คนตาบอดถือตะเกียง
มีคนตาบอดคนหนึ่ง กับคนตาดีอีกคนหนึ่ง
คนตาบอดกำลังจะออกเดินทางกลับบ้านในช่วงเวลามืดค่ำ
คนตาดีเลยยื่นตะเกียงให้คนตาบอดถือติดตัวไป
ตอนแรกคนตาบอดก็ปฏิเสธไม่ยอมรับตะเกียงนั้นไว้
ด้วยเพราะมีกับไม่มีมันก็ไม่ต่างสำหรับผู้มองไม่เห็นทางอย่างเขา
แต่คนตาดีก็บอกว่า
รับไว้เถอะ
อย่างน้อยๆเวลาที่ท่านเดินทางในที่มืด
มีตะเกียงส่องไว้จะได้ไม่มีใครเดินมาชนท่าน
คนตาบอดก็เลยรับตะเกียงนั้นมา
เดินทางไปเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงบ้านอยู่แล้ว
ก็ โครม! เดินชนเข้ากับใครอีกคนเข้าให้อย่างจัง...
คนตาบอดจึงพูดว่า ท่านต้องตาบอดแน่ๆเลยถึงเดินมาชนเราได้
คนที่เป็นคู่กรณีก็ตอบกลับมาว่า เปล่าเลย เราไม่ได้ตาบอด
คนตาบอดก็เลยบอกว่า
อ้าว!! ก็แล้วทำไมท่านถึงเดินมาชนเราได้เล่่า
ก็ในเมื่อเรามีตะเกียงส่องทางถืออยู่ในมือนี่
คนตาดีจึงตอบกลับไปว่า
ก็ตะเกียงของท่านมันดับไปแล้ว ท่านไม่รู้หรอกหรือ
___________________________
จึงเกิดคำถามว่า
คนตาบอดไม่รู้เลยหรือว่าแสงตะเกียงในมือของตนนั้นดับไปแล้ว
แน่นอน เขาย่อมไม่รู้ ไม่ใช่เพราะเขามองไม่เห็นแสงตะเกียงในมือ
แต่เพราะไม่ใช่แค่ตาของเขาเท่านั้นที่บอด
เป็นธรรมดาที่คนในโลกมืดจะมองไม่เห็นแสงสว่างด้วยตา
แต่ใช่ว่าเขาจะไม่สามารถรับรู้การมีของแสงสว่างไม่ได้
คนตาบอดที่รู้คุณค่าของแสงตะเกียงในมือ เขาย่อมรู้ตั้งแต่เดิมแล้วว่า
แสงตะเกียงในมือนั้น ไม่ได้ทำให้เขาเห็นทาง
แต่มันจะทำให้คนอื่นที่ร่วมทางและคนที่ผ่านไปผ่านมาเห็นเขา
แสงในมือที่เขามองไม่เห็นด้วยตา
แต่เขาย่อมรู้ดีว่าเขามีแสงในมือที่จะทำให้เขาปลอดภัยในการเดินทาง
และเมื่อแสงตะเกียงดับ เขาก็ย่อมรับรู้ได้ทันที
เมื่อความอบอุ่นที่เคยมีตลอดการเดินทางได้จางหายไป
เพราะแสงนั้นไม่ได้มีคุณค่าแค่ส่องให้เห็นทางอย่างเดียว
แต่แสงนั้นมีพลัง ให้ความอบอุ่นแก่ผู้ที่ถือมัน
และผู้ที่รู้คุณของแสงก็ย่อมรับรู้ว่าแสงนั้นมีคุณค่ามากแค่ไหนในยามที่มันดับลง
เขาย่อมสัมผัสและรับรู้ได้ แม้ตาจะมองไม่เห็น
แม้คนตาบอดจะเดินหลงทางด้วยเพราะตามองไม่เห็น
แต่แสงจากตะเกียงในมือของเขาก็ยังคงช่วยให้เขาปลอดภัย
และให้ความอบอุ่นแก่เขาเสมอจนกว่าแสงนั้นจะดับลง
แม้เขาจะรับรู้ถึงการมีหรือไม่มีก็ตาม
...เราเคยสงสัยไหมว่่า แสงเกิดขึ้นได้อย่างไร
ใครคือผู้สร้าง
...เราเคยสงสัยถึงความเป็นแสงหรือเปล่า
...แล้วแสงจะมีวันหมดลงหรือไม่
ทุกคำถามย่อมมีคำตอบ...
...แต่บางครั้งบางสิ่งบางอย่างและบางเรื่อง เหตุผลก็ไม่สามารถอธิบายได้...
เพราะเรามิใช่เจ้าของ มิใช่ผู้สร้าง มิใช่ผู้ให้กำเนิดสิ่งเหล่านั้น
ที่ใดมีเงาที่นั่นย่อมมีแสง...แสงและเงาอาจถูกสร้างมาคู่กันเพื่อผูกพันกัน
ประโยชน์ของทั้งคู่นั้นมากมายมหาศาลนัก
นี่คืออีกสัญลักษณ์หนึ่งแห่งความยิ่งใหญ่จากผู้สร้าง
_______________________________________________
ในมุมมองของคนเขียนนั้น คิดว่าตัวเองนั้นไม่ต่างจากเงา
เป็นเพียงแค่เงาเงาหนึ่งที่รอแสงส่องมาเพื่อจะได้มีตัวตน
เมื่อไร้แสง ก็ไร้ตัวตน
แค่เงาอันเลือนรางที่ยังต้องการแสงสว่างจากผู้สร้าง
หวังเพียงว่าจะเป็นเงาที่ไม่ไร้ประโยชน์เมื่อเจอแสง
แม้แสงที่ได้รับจะน้อยนิดเพียงใดก็ตาม
วัลลอฮุอะลัม
...มีต่อค่ะ...
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: ILHAM Date: ก.ย. 30, 2009, 01:59 AM
มีตะเกียง2ดวงที่ช่วงโชติวาว
ส่องแสงแพรวพราวให้ความสว่างสดใส
ดวงหนึ่งสว่างอยู่ที่ ณ ถิ่นแดนไกล
ดวงหนึ่งสดใสอยู่ในวิมานเมืองแมน
ดวงหนึ่งเพิ่มบรรยากาศ
ดวงหนึ่งส่องสาดเพราะขาดสิ้นแสงสุรี
คุณค่าที่มีเพียงต่างที่วางและสิ่งมุ่งหวัง
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ก.ย. 30, 2009, 02:12 AM
บทสรุปของ ความรักจากแสงทั้งสาม
แสงจากเทียน
แสงจากไม้ขีดไฟ
แสงจากตะเกียง
หากสังเกตุ แสงทั้ง3นั้นมาจากไฟ ไฟที่ไหม้ลามเผาทุกสิ่ง
คุณค่าของไฟจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวของไฟ
แต่อยู่ที่แสงสว่างและความร้อนจากมันต่างหาก
เพราะตัวของไฟนั้นพร้อมจะเผาเชื้อไฟทุกชนิดที่ถูกสร้างมาจากดิน
ไม่เว้นแม้กระทั่งมนุษย์ แสงจากไฟจึงดับลงเมื่อสิ้นเชื้อ
เราอาจจะสงสารเทียน สงสารไม้ขีด สงสารตะเกียง
ที่ยอมเผาร่างกายตัวเองเพื่อให้เกิดแสง
หากคุณค่าของเทียน คุณค่าของไม้ขีดและคุณค่าของตะเกียง
ไม่ได้อยู่ตรงที่การเสียสละร่างกายเพียงอย่างเดียว
แต่คือการยอมจำนนต่อหน้าที่ของมัน เพราะมันถูกสร้างมาเพื่อสิ่งนั้น
เพื่อเป็นเชื้อไฟให้เกิดแสงสว่างในเวลาที่จำกัด
คุณค่าของมันจึงอยู่ที่แสงสว่างจากตัวมันในยามที่ถูกไฟเผาผลาญ
ไม่ได้อยู่ที่ร่างกายที่สลายไป
แสงของเทียน แสงของไม้ขีดและแสงของตะเกียงจึงมีคุณค่าเสมอ
แม้ว่ากายจะสลายไปแล้วก็ตาม
แม้กระทั่งความอบอุ่นก็ยังคงตราตรึงใจสำหรับผู้ที่รับรู้ถึงการมี
และสัมผัสได้ถึงความรักของแสง
นิยามของแสงเป็นฉันใด มนุษย์เราย่อมรู้กัน
แต่เราก็มิอาจจะรู้จักแสงอย่างแท้จริงได้
เนื่องจากเรามิใช่ผู้สร้างแสง
นิยามของไฟเป็นฉันใด มนุษย์เราย่อมรู้กัน
แต่เราก็ไม่อาจจะรู้จักไฟอย่างแท้จริงได้เช่นกัน
เนื่องจากเรามิใช่ผู้สร้างไฟ
นิยามของดินเป็นฉันใด มนุษย์เราย่อมรู้กัน
แต่เราก็ไม่อาจจะรู้จักดินอย่างแท้จริงได้เช่นกัน
เนื่องจากเรามิใช่ผู้สร้างดิน
แม้ดินและสิ่งที่ถูกสร้างจากดินจะเป็นเชื้อของไฟ
แม้ว่าในแผ่นดินจะมีเชื้อไฟที่เรียกว่าหินหนืดหรือแมกมา
ซึ่งเป็นของเหลวข้นที่มีส่วนประกอบภายในทั้งของแข็งและก๊าซ
ซึ่งอยู่ระหว่างเปลือกโลกกับแกนโลก มีความร้อนมหาศาล
ก่อนและหลังการเกิดภูเขาไฟนั้น แมกมาจะเคลื่อนตัวอย่างรุนแรง
ทำให้เกิดแผ่นดินไหวและแรงสั่นสะเทือน
เมื่อแผ่นดินเดือดเต็มท่ี ก็พร้อมจะคายความร้อนภายในออกมาสู่ภายนอก
เกิดเป็นภูเขาไฟระเบิด พ่นทุกอย่างที่อยู่ข้างในออกมา
ซึ่งมีอนุภาพพร้อมจะทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้าบนหน้าแผ่นดิน
แม้กระทั่งภูเขาที่สูงตระหง่าน ค้ำโลกและแน่นหนักต่อความหวั่นไหว
ยังสั่นสะเทือนได้...แล้วจิตมนุษย์นี้ไซร้ ใยจะไม่สั่นไหวเมื่อเชื้อไฟในกาย
กำลังจะถูกแผดเผาจากไฟ...
หลังเกิดแผ่นดินไหว ก็จะเกิดไฟไหม้ตามมา
ลมก็จะพัดโหมกระพือไฟให้ลุกโชนไหม้ลามเผาทุกสิ่ง
หากมีความมหัศจรรย์หนึ่งจากผู้สร้างนั่นก็คือน้ำ
น้ำที่จะแทรกซึมอยู่ในผืนดิน ไหลวนบนผืนดิน และยังมีหยดน้ำจากฟากฟ้า
น้ำที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้
น้ำที่สามารถดับไฟ ดับร้อนที่เผาไหม้และชโลมใจให้เย็นลง
น้ำกับไฟจึงเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์แห่งการสร้างที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก
แม้เราจะมีเชื้อไฟ แต่เราก็มีน้ำเอาไว้เพื่อดับความร้อนในจิตใจเช่นกัน
ไฟจะไม่สามารถทำอะไรเราได้ หากว่าเราใช้น้ำดับ
แต่น้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟ
เราจะยอมเผาตัวเองดั่งเทียน ไม้ขีดไฟและตะเกียงเพื่อให้เกิดแสงสว่างอันทรงคุณค่า
หรือจะยอมให้เชื้อลาวาพ่นออกมาล้างผลาญทุกอย่างที่ขวางหน้าบนหน้าแผ่นดิน
ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างบนผืนดินนั้นล้วนมาจากดินกระนั้นหรือ
...แสงใดเล่าจะช่วยเราได้ในยามนั้น แสงใดเล่าจะช่วยเราได้ในยามที่สับสน
หากมีแสงหนึ่งที่สว่่างไสวและอบอุ่นยิ่งกว่าแสงใดสำหรับคนเขียน
เป็นแสงหนึ่่งที่โหยหาและต้องการ แม้จะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
นั่นก็คือ
แสงแห่งรัก สู่ แสงแห่งทางนำ
วัลลอฮุอะลัม
โดย: "ข้าพเจ้าเอง"
_________________________________________________
นั่นคือมุมมองของคนเขียนที่ต้องรับผิดชอบบทความทุกๆบทความ
อักษรทุกๆตัว ความคิดทุกๆความคิด จินตนาการทุกๆจินตนาการ
ที่ตนคิด จินตนาการและขีดเขียนมันขึ้นมา...
และไม่ว่าจะผิดหรือถูก ก็พร้อมที่จะขีดเขียนต่อไป
อย่างน้อยการได้ทำ มันทำให้เราเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบมากขึ้น
และเรียนรู้ความผิดพลาดของตัวเองจากผู้อื่นมากขึ้น
ด้วยตัวเองนั้นเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่อ่อนแอยิ่งนัก
ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ
ดังนั้น...หากผิดพลาดประการใด โปรดชี้แนะด้วยนะคะ...
และหากคิดเห็นประการใดหรือมีบทความใดๆมานำเสนอ
ได้โปรดเสวนาและนำเสนอเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันนะคะ...
อินชาอัลลอฮฺ แล้วจะมาต่อเรื่องของแสงในมุมอื่นๆกันอีกครั้งเมื่อมีโอกาสค่ะ
...ด้วยไมตรีจิต...
วัสลามุอะลัยกุม
^__________^