Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: nada-yoru Date: ต.ค. 30, 2009, 12:11 AM
แต่แฟนหงส์ฯอาจไม่คิดอย่างแชก็ได้นะคะ...

เรื่องอายุนั้น นานเท่่าไหร่ก็ไม่แก่ค่ะ...อิอิ...
หากว่าคุณสมบัติยังไม่ครบ เพราะโบราณ(ไม่รู้ว่าใครเหมือนกันค่ะ)
ท่านว่า...
คนแก่ ชอบกินของขม ชอบชมหนุ่มสาว ชอบเล่าความหลัง
อันข้าน้อยนั้นรอดตัวไปค่ะ เพราะว่าสอบไม่ผ่านคุณสมบัติข้อแรกสุด...
เลยเป็นได้แค่ สส

Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: บาชีร Date: ต.ค. 30, 2009, 06:06 AM
กลางคืนมีกี่ชัวโมงก็นับไปตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตกจนดวงอาทิตย์ขึ้น
แล้วถ้าพ้นครึ่งนึงของกลางคืน ก็สามารถอาบน้ำวันอีดได้ และสามารถกินข้าวสะโหรได้ และยังมีอีกหลายหุกุมที่นับตั้งแต่หลังครึ่งคืน
Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: - ครูจริงใจ- Date: ต.ค. 30, 2009, 05:39 PM
3. ทำไมเวลาต้มถั่ว จึงไม่นิยมใส่น้ำตาลพร้อมถั่ว ? (ข้อนี้คาดว่า ง่ายสุดๆ
)
เฉลย-ก๊ะคนเดินดินกับก๊ะนาดา :: ตอบถูกแล้ว แต่ไม่ตรง point ที่คุณครูต้องการเลยได้แค่คนละ 1 คะแนน
แชมัด :: แอบขำที่ว่า ต้มถั่วเขียวจนบาน ^^"
.
.
(เคยเห็น 'เด็ดแม่ ) ก่อนต้มถั่วเขียวท่านจะแช่ถั่วก่อนต้มทุกที (ก้อเคยสงสัยอ่ะนะ ตามประสาเด็กๆ

)
เพิ่งมาถึงบางอ้อ ตอนที่ได้เรียนน่ะแหล่ะ ทฤษฎีที่ว่ามันเป็นอย่างงี้
การแช่ถั่วเขียยวก่อนต้ม ช่วยทำให้ถั่วเขียวสุกเร็วขึ้น เนื่องจากน้ำที่ดูดซับ(บางส่วน) ที่ถูกดูดซับเข้าไปในเนื้อเยื่อของถั่วเขียว
ที่สำคัญ การแช่ถั่วเขียวก่อนต้ม ช่วยลดการเกิด
กลิ่นถั่ว (เป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เกิดจากเอนไซม์ ไลพอกซิจิเนสที่มีในถั่ว ระหว่างต้ม)
- - - > เวลาต้มถั่วเขียวจะต้องใส่น้ำ ลงไปต้มพร้อมถั่ว น้ำจะถูกดูดซึมเข้าไปในถั่วอย่างเต็มที่ จนเมื่อถั่วบานได้ที่ (อย่างแชมัดว่า) จึงใส่น้ำตาล + เกลือเล็กน้อยลงไป
หากใส่น้ำตาลลงไปเลย จะเกิดการออสโมซิส ของน้ำในถั่วออกมาข้างนอก น้ำเชื่อมเข้าไปแทน ถั่วเลยแข็ง
(ตอนหลังๆ ครูเริ่มงงเอง - -' ไม่ทราบว่า พอเข้าใจกันมั๊ยพี่น้อง ? )
Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: nada-yoru Date: ต.ค. 30, 2009, 06:45 PM
- - - > เวลาต้มถั่วเขียวจะต้องใส่น้ำ ลงไปต้มพร้อมถั่ว น้ำจะถูกดูดซึมเข้าไปในถั่วอย่างเต็มที่ จนเมื่อถั่วบานได้ที่ (อย่างแชมัดว่า) จึงใส่น้ำตาล + เกลือเล็กน้อยลงไป
หากใส่น้ำตาลลงไปเลย จะเกิดการออสโมซิส ของน้ำในถั่วออกมาข้างนอก
น้ำเชื่อมเข้าไปแทน ถั่วเลยแข็ง
(ตอนหลังๆ ครูเริ่มงงเอง - -' ไม่ทราบว่า พอเข้าใจกันมั๊ยพี่น้อง ? )
salam
อ่านที่ครูจริงใจอธิบายแล้วนึกถึงเวลาเชื่อมฟักทอง...
เพราะว่าแรกๆเวลาต้มนั้น น้ำเชื่อมจะใสมากค่ะ
แล้วพอต้มไปๆมันก็จะเข้มข้น หลักของการต้มฟักทอง(ตามประสบการณ์)
จะไม่ต้มจนน้ำเชื่อมเข้มข้นจนเกินไป เพราะว่าฟักทองของเรา
จะเหี่ยวแฟบ เนื่องจากเกิดการออสโมซีสของน้ำ(เรียกชือตามหลักวิชาการ...งิงิ)
(น้ำจากในเซลล์เนื้อของฟักทองจะไหลออกมาข้างนอก ด้วยการออสโมซิส..
เลยทำให้ฟักทองสูญเสียน้ำไป...สาเหตุแห่งการเหี่ยวและแข็ง...
คล้ายๆหน้าคนเรยค่ะคุณครู...งิงิ...แต่บางอารมณ์ก็ชอบกินฟักทองแบบแข็งนะคะ
มันดูเกาะกันแน่นดี...เหอๆ)...
ซึ่งถ้าเป็นถั่ว เนื้อมันจะแข็ง เลยต้องแช่น้ำไว้ เพื่อให้น้ำเข้าไป
การออสโมซีสทำให้เซลล์ขยายใหญ่ขึ้น ถั่วเลยบานอย่างแชมัดว่า

ซึ่งตามกฎของการออสโมซีส คือ สารที่มีน้ำมากกว่าจะแพร่น้ำไปยัง
สารที่มีน้ำน้อยกว่า ซึ่งในน้ำเชื่อมมีความเข้มข้นของน้ำน้อย(มีปริมาณน้ำตาลสูง)
และสารที่มีความเข้มข้นสูงก็จะมีแรงดันออสโมติกสูงตามไปด้วย
น้ำตาลเลยดันเข้าไปแทนที่น้ำในถั่วเขียว ซึ่งน้ำจากถั่วเขียวเองก็จะไหลออกมา
ยังความเข้มข้นของน้ำน้อยกว่าอย่างน้ำเชื่อมข้างนอก...
พอน้ำจากถั่วไหลออกมาก็จะทำให้ถั่วแข็ง(เหมือนกรณีฟักทองเหี่ยว)
และกว่าจะเกิดการสมดุลการแพร่ของของเหลวในหม้อต้มถั่วเขียว
หม้ออาจไหม้โดยที่ถั่วยังไม่สุกก็เป็นได้...ซึ่งอาจจะสุกแบบแข็งๆ...เหอๆ...
คุณครูจริงใจคิดเหมือนกันหรือเปล่าคะ
(ก่อนหน้านี้ไม่ได้นึกถึงการออสโมซีสของน้ำอ่ะสิคะ เลยมั่วตามที่เคยทำกันมา
พอคุณครูสะกิดเลยนึกถึงฟักทองเช่ือมเมื่อสัปดาห์ก่อนขึ้นมา...
สาว่าคล้ายๆกัน...

)
เพราะว่าเวลาจะเชื่อมฟักทอง ปกติเราก็จะแช่ในน้ำปุูนด้วย...
ต่างกับการเชื่อมเงาะและสะตอ(เบอรี่) เพราะว่าสองอย่างน้ันเนื้อนิ่ม ไม่แข็ง...
เขียนไปมึนไปเช่นกันค่ะ...ไม่รู้ว่ามั่วหรือเปล่านิคุณครู...
ปล.อีกนิดเดียวถั่วเขียวก็จะกลายเป็นถั่วงอกเสียแล้ว...

1คะแนนที่ได้จะเก็บสะสมไว้อย่างดี(รอรางวัลเมื่อสะสมแต้มครบ)...
คุณครูจริงใจมาถามอีกนะคะ...
วัสลามุอะลัยกุมค่ะ
Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: ILHAM Date: ต.ค. 30, 2009, 06:46 PM
ออสโมซิส มันเกิดเฉพาะกับน้ำ แล้วน้ำตาลในน้ำมันจะซึมผ่านได้ยังไง
Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: nada-yoru Date: ต.ค. 30, 2009, 07:06 PM
น้ำเชื่อมมันก็จะซึมผ่านด้วยการแพร่(มั้ง)อิลฮาม...
ซึ่งการแพร่จะตรงข้ามกับการออสโมซีส
เพราะการแพร่นั้น จากสารละลายที่เข้มข้นมากจะเข้าไปหา
สารที่มีความเข้มข้นต่ำกว่า พอน้ำจากเซลล์ของถั่วมันไหลออกมา
ด้วยขบวนออสโมซีส ซึ่งหากน้ำไหลออกมามากเท่าไร แน่นอนว่่า
สารจะนั้นจะยิ่งเหี่ยวและแข็ง การแทรกซึมเข้าไปจึงยากขึ้น...
ถั่วมันจึงยิ่งแข็งกว่าเดิม...
(รอคุณครูจริงใจมาอธิบายเสริมเน้อ พี่ไม่ถนัดด้านนี้สักเท่าไหร่
อาศัยประสบการณ์และความรู้เท่าหางอึ่งตอนเรียนมัธยมนั้น)
ยิ่งวิชาเค็ม(เคมี)ยิ่งร่อแร่กว่าวิชาอื่นๆ...เหอๆ
แฮ่

Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: คนเดินดิน Date: ต.ค. 31, 2009, 09:40 PM
ถึงครูจริงใจ
โหดอ่ะ
ตอบถูกแล้วแต่ให้คะแนนเค้ากับน้องนาดาแค่ 1 เองอ่ะ
จะกดเกรดกันรึไงเนี่ย
คอยดูนะเค้าจะฟ้องก๊ะฟิรดาวส์ (เกี่ยวไร)

Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: ILHAM Date: พ.ย. 01, 2009, 11:12 AM
ให้ก๊ะเขามาตีเลย 555
Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: nada-yoru Date: พ.ย. 07, 2009, 04:03 PM
salam
ขอถามบ้างนะคะ...พอดีได้ดูสารคดีแล้วชอบเลยนำมาถามค่ะ
"บนโลกใบนี้มีส่ิงมีชีวิตที่ถูกสร้างมาเป็นคู่ๆ
มีเพศผู้หรือเพศพ่อและเพศเมียหรือเพศแม่
โดยทั่วไปแล้ว เพศแม่จะทำหน้าที่เป็น "ผู้คลอด"
แต่มีสิ่งมีชีวิตบางชนิด ที่เพศพ่อได้ทำหน้าที่เป็น "ผู้คลอด"
สิ่งมีชีวิตที่ว่านั้นคืออะไร และท่านรู้ไหมว่าทำไม?"วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: JawhaR Date: พ.ย. 08, 2009, 10:33 AM
ใบ้ให้หน่อยดิคับ
สัตว์ที่ว่าเป็น สัตว์ทะเล ใช่หรือไม่
Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: nada-yoru Date: พ.ย. 08, 2009, 11:21 AM
ใบ้ให้หน่อยดิคับ
สัตว์ที่ว่าเป็น สัตว์ทะเล ใช่หรือไม่
ค่ะ...เป็นลูกทะเลค่ะ...หน้าตาน่าเอ็นดู...

Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: JawhaR Date: พ.ย. 08, 2009, 11:34 AM
ใบ้ให้หน่อยดิคับ
สัตว์ที่ว่าเป็น สัตว์ทะเล ใช่หรือไม่
ค่ะ...เป็นลูกทะเลค่ะ...หน้าตาน่าเอ็นดู... 
ใช่ ม้าน้ำป่าว
เหมือนเคยเรียน ตอนมัธยม
แต่เหตุผล ไม่รู้อ่ะ
Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: nada-yoru Date: พ.ย. 08, 2009, 11:51 AM
salam
ขอถามบ้างนะคะ...พอดีได้ดูสารคดีแล้วชอบเลยนำมาถามค่ะ
"บนโลกใบนี้มีส่ิงมีชีวิตที่ถูกสร้างมาเป็นคู่ๆ
มีเพศผู้หรือเพศพ่อและเพศเมียหรือเพศแม่
โดยทั่วไปแล้ว เพศแม่จะทำหน้าที่เป็น "ผู้คลอด"
แต่มีสิ่งมีชีวิตบางชนิด ที่เพศพ่อได้ทำหน้าที่เป็น "ผู้คลอด"
สิ่งมีชีวิตที่ว่านั้นคืออะไร และท่านรู้ไหมว่าทำไม?"
วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

ใบ้ให้หน่อยดิคับ
สัตว์ที่ว่าเป็น สัตว์ทะเล ใช่หรือไม่
ค่ะ...เป็นลูกทะเลค่ะ...หน้าตาน่าเอ็นดู... 
ใช่ม้าน้ำป่าว
เหมือนเคยเรียน ตอนมัธยม
แต่เหตุผล ไม่รู้อ่ะ
ถูกต้องแล้วก๊าบบบบบบบบบบบบบบบบ(เป็ดมาเฉลยด้วยตัวเอง...งิงิ)
ส่วนเหตุผล...
บทความดีดีจาก วารสาร อพวช. ค่ะ
ปลาอะไรม้วนหางได้

คำถามนี้คงไม่ยากเกินไปสำหรับเด็ก ๆ ยิ่งถ้าเป็นผู้ใหญ่อายุมากกว่า 25 ปีแล้ว
นับว่าเป็นคำถามที่ง่ายมาก ๆ
เพราะเมื่อประมาณ 25 ปี ที่ผ่านมา มีโฆษณาทีวีสียี่ห้อดัง
ได้ใช้ปลาชนิดนี้เป็นดาราหน้ากล้อง ขณะที่พ่อปลากำลังบอกลูกปลาว่า
ม้วนหางสิลูก เพื่อใช้หางม้วนจับกับวัตถุบางอย่างใต้น้ำ
หลาย ๆ คนเริ่มร้อง
อ๋อ
กันแล้ว
ม้าน้ำ (Seahorses) หรือจะเรียกให้ถูกต้องจริง ๆ ต้องเรียกว่า
ปลาม้าน้ำ พวกมันจัดเป็นปลาจำพวกปลากระดูกแข็ง (ตัวอย่างปลากระดูกแข็ง
เช่น ปลาทู ปลาหมอ ปลาช่อน ปลาการ์ตูน ส่วนปลากระดูกอ่อน
ได้แก่ ปลาฉลาม และ ปลากระเบน) พวกมันใช้เหงือกในการหายใจ
มีครีบหูและครีบหลัง ใช้ในการว่ายน้ำและควบคุมทิศทางการเคลื่อนที่
เหมือนปลาทั่ว ๆ ไป
แต่ทว่า ม้าน้ำมีรูปร่างที่แสนจะแปลก แตกต่างจากปลาชนิดอื่น ๆ
ตรงที่ ม้าน้ำไม่มีเกล็ด แต่มีเกราะแข็งเป็นข้อ ๆ ปกคลุมลำตัวแทน
ม้าน้ำไม่มีครีบหาง แต่มีหางยาวใช้สำหรับยึดเกาะกับปะการัง กัลปังหา
หรือวัสดุอื่น ๆ ที่อยู่ใต้น้ำ ม้าน้ำว่ายน้ำในท่าลำตัวตั้งตรง
เอาส่วนท้องยื่นไปด้านหน้าในขณะที่ปลาส่วนใหญ่ไม่ทำเช่นนั้น
และที่สำคัญ ส่วนหัวและปากที่ยื่นยาวของม้าน้ำ
ช่างละม้ายคล้ายกับส่วนหัวของม้าอย่างมาก
จนเป็นที่มาของชื่อ
ม้าน้ำ
ยังไงล่ะ
ถิ่นที่อยู่อาศัยนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อรูปลักษณ์
และสีสันของม้าน้ำโดยตรง เช่น ม้าน้ำที่อาศัยอยู่ในแนวปะการัง
มักมีหนามยาวบนลำตัว คล้ายกิ่งก้านของปะการัง
ม้าน้ำที่เกาะเกี่ยวกับกัลปังหาก็จะมีสีสันที่ฉูดฉาดที่เป็นสีเดียวกัน
นอกจากนี้ ม้าน้ำยังสามารถปรับเปลี่ยนสีสันของลำตัวให้เป็นไปตามพฤติกรรม
และอารมณ์ขณะนั้น ๆ ได้อีกด้วย
ไม่เฉพาะความโดดเด่นของรูปร่างหน้าตาเท่านั้นที่น่าสนใจ
วงจรชีวิตของม้าน้ำก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน
กล่าวคือ เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ ม้าน้ำตัวผู้จะปรับเปลี่ยนสีของลำตัว
เพื่อดึงดูดม้าน้ำตัวเมีย จากนั้นตัวผู้จะใช้หางโอบกอดตัวเมีย
พร้อมกับแอ่นท้องประกบกับท้องของตัวเมีย
ตัวเมียจะออกไข่ใส่ลงในถุงหน้าท้องของตัวผู้
และม้าน้ำตัวผู้ก็จะปล่อยอสุจิเข้าผสมกับไข่และฟักเป็นตัวอ่อน
ภายในถุงหน้าท้องนั้น
ม้าน้ำตัวผู้จะเฝ้าทะนุถนอมตัวอ่อนภายในถุงหน้าท้องเป็นอย่างดี
โดยมีม้าน้ำตัวเมียทำหน้าที่คอยดูแลปกป้องและว่ายน้ำวนเวียนอยู่ไม่ห่าง
เมื่อถึงกำหนดเวลาประมาณ 14 วัน พ่อม้าน้ำจะบีบกล้ามเนื้อส่วนท้อง
และพ่นลูกม้าน้ำนับร้อย ๆ ตัวให้ออกจากกระเป๋าหน้าท้องสู่โลกท้องทะเลสีคราม
นับเป็นความโชคดีของพ่อม้าน้ำที่ได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็น ผู้คลอด
ทั้ง ๆ ที่ผู้เป็นพ่อทั้งหลายบนโลกใบนี้ไม่เคยได้สัมผัสม้าน้ำเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของ
ความซื่อสัตย์ ต่อคู่ครอง
เพราะเมื่อม้าน้ำตัวผู้และตัวเมียตกลงใจที่จะอยู่ด้วยกันแล้ว
ก็จะอยู่คู่กันแบบที่เรียกว่า ผัวเดียว เมียเดียว ไปจนกระทั่งฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
จะตายจากไปถึงจะหาคู่ใหม่
นับเป็นพฤติกรรมที่น่าชื่นชมอย่างมาก แต่พฤติกรรมที่น่าชื่นชมนี้
กลับนำพาโศกนาฎกรรมมาสู่ตัวม้าน้ำเอง
เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความเชื่อว่า การมอบม้าน้ำคู่ผัวเมียให้แก่คู่บ่าวสาว
เป็นของขวัญในวันแต่งงานนั้น เป็นการอวยพรให้คู่บ่าวสาวมีความรัก
และความซื่อสัตย์ต่อกัน เช่นเดียวกับคู่ของม้าน้ำ
เมื่อวันแต่งงานของเพื่อนหรือคนที่คุณรักมาถึง
ของขวัญของคุณคือสิ่งที่คู่บ่าวสาวปรารถนา
แต่เมื่อเปิดกล่องกลับพบเพียงร่างอันไร้วิญญาณของม้าน้ำสองผัวเมีย
นอนนิ่งอยู่บนผ้ากำมะหยี่สุดหรู คุณคิดว่าคู่บ่าวสาวที่ได้รับของขวัญชิ้นนี้
จะรู้สึกดีใจหรือเสียใจดี ?
เป็นไงคะ อ่านจบแล้วก็อย่าได้คิดให้ของขวัญกับใครแบบนี้นะคะ
ม้าน้ำ ก็คือ ม้าน้ำ ไม่ได้ช่วยให้คนที่ไม่รักกันอยู่ด้วยกันได้หรอกค่ะ
ที่มา:
http://paaying.wordpress.com....เป็นดังฉะนี้แลค่ะ....

ปล.มีสัตว์อีกหลายชนิดค่ะ ที่มีสัญลักษณะคล้ายๆกับม้าน้ำ
เช่น นกกระเรียนเป็นต้น...อีกทั้งปลาดุหยงหรือปลาพะยูนก็เฉกเช่นกันค่ะ
วัสลามุอะลัยกุมค่ะ
Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: JawhaR Date: พ.ย. 08, 2009, 01:03 PM
แล้ว ทำไมตัวผู้ถึงเป็นผู้คลอดอะ
หรือว่า ตัวเมียไม่มีถุงหน้าท้อง?
Re: รู้ไหมว่าทำไม ? By: nada-yoru Date: พ.ย. 08, 2009, 02:21 PM
แล้ว ทำไมตัวผู้ถึงเป็นผู้คลอดอะ
หรือว่า ตัวเมียไม่มีถุงหน้าท้อง?
นี่อาจคือคำตอบก็ได้ค่ะ...

คลายปริศนาม้าน้ำออกลูกได้อย่างไร
ลอนดอน (รอยเตอร์) -
นักวิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยความลับเกี่ยวกับม้าน้ำเพศผู้ออกลูกได้อย่างไร
เป็นครั้งแรก ซึ่งอาจจะประโยชน์ต่อการอนุรักษ์พวกมันไว้
มันไม่เหมือนกับสัตว์อื่นและมนุษย์ในเรื่องตัวเมียจะท้อง
จากนั้นตัวผู้จะรับไข่จากท้องตัวเมียมาไว้ที่ถุงหน้าท้องของมันและออกลูก
พวกมันผสมพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพด้วยน้ำเชื้อปริมาณน้อย
และมีระยะเวลาการปฏิสนธิสั้น
"เราดีใจมากที่สามารถค้นพบกลไกการปฏิสนธิในม้าน้ำตัวผู้ในที่สุด
มันเป็นส่วนการสืบพันธุ์ของม้าน้ำที่มีข้อมูลน้อยมากจนถึงปัจจุบัน"
ศาสตราจาร์บิล ฮอลต์ (Bill Holt) แห่งสมาคมสัตวศาสตร์แห่งลอนดอน
(Zoological Society of London, ZSL) แถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ม้าน้ำกำลังผสมพันธุ์กัน ตัวเมีย(ขวา)จะถ่ายไข่ลงในกระเป๋าหน้าท้องของตัวผู้
และตัวผู้จะปล่อยเชื้ออสุจิออกไปในกระแสน้ำและให้เชื้อว่ายมายังกระเป๋า
เพื่อให้เกิดกรปฏิสนธิ
เมื่อไข่ในกระเป๋าหน้าท้องได้รับการปฏิสนธิแล้ว
ตัวผู้จะรอเวลาเพื่อให้ตัวอ่อนพร้อมที่จะออกมาดูโลก
หลังจากได้สังเกตและบันทึกวีดิโอพฤติกรรมการผสมพันธุ์ของม้าน้ำเหลือง
(yellow seahorse; Hippocampus kuda )
ฮอลต์และทีมงานของเขาได้ค้นพบว่าม้าน้ำตัวผู้มีการผสมพันธุ์
ที่มีประสิทธิภาพน้ำหน้ามนุษย์และสัตว์อื่น
แต่ม้าน้ำต้องเผชิญกับการสูญพันธุ์จากการสูญเสียถิ่นอาศัย
มลภาวะและการจับปลา และยังอยู่ในรายชื่อสัตว์ที่จะเข้าสู่ภาวะสูญพันธุ์ในอนาคต (vulnerable) ของ World Conservation Union (IUCN),
Red List of endangered species
"เราทำการนับจำนวนอสุจิและสังเกตพฤติกรรมการผสมพันธุ์
และบันทึกวีดิโอการผสมพันธุ์ทั้งหมด เมื่อรวมหลักฐานทั้งหมดแล้ว
คุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าน" ฮอลต์กล่าว
เพื่อเอาชนะการขาดแคลนเชื้ออสุจิ ม้าน้ำเหลืองตัวผู้จึงสร้างอสุจิ 2 แบบ
ตามรายงานการค้นพบในวารสาร Journal of Experimental Biology
"แต่ที่น่าประหลาดใจมากกว่านั้น เชื้ออสุจิที่มันผลิตจะปล่อยออกมาจากร่างกาย
ไปยังน้ำทะเล แต่เชื้ออสุจิก็สามารถหาทางไปกระเป๋าหน้าท้องของตัวผู้เจอ
ซึ่งเป็นที่ที่ตัวเมียวางไข่เอาไว้" ฮอลต์กล่าว
"เราไม่สามารถได้แน่ชัดว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร"
สิ่งที่ม้าน้ำตัวเมียต้องทำคือสร้างไข่และเอาไปวางในประเป๋าหน้าท้อง
ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลา 5-10 วินาที เชื้ออสุจิก็ต้องหาทางไปยัง
กระเป๋าหน้าท้องในทันเวลาเพราะว่าเมื่อไข่ถูกวางในกระเป๋าหน้าท้องแล้ว
กระเป๋าปิดสนิท
ถึงแม้ว่างานวิจัยจะมุ่งเน้นในม้าน้ำเหลืองที่พบในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ฮอลต์และทีมของเขากล่าวว่าม้าน้ำทุกชนิด
มีวิธีการผสมพันธุ์เหมือนกัน
ม้าน้ำเหลืองเมื่อโตเต็มที่แล้วจะยาว 8 ซ.ม. (3.1 นิ้ว) และมีอายุประมาณ 5 ปี
ไม่เหมือนกับมนุษย์ที่สามารถผลิตเชื้ออสุจิได้หลายพันล้านเซลล์
แต่กลับมีลูกได้เพียงครั้งละ 1-2 คนเท่านั้น
ในม้าน้ำจะออกลูกครั้งละประมาณ 100 ตัวทีเดียว
"ถ้าพวกมันมีเชื้ออสุจิเพียงไม่กี่ร้อยเซลล์และสามารถออกลูกได้เป็นร้อยตัว
นั่นถือเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ในโลกของเชื้ออสุจิเลย" ฮอลต์เสริม
ที่มา:http://www.neutron.rmutphysics.com
มหัศจรรย์แห่งการสร้างสรรค์ใช่ไหมคะ...

ปล.มีนิทานน่ารักๆเกี่ยวกับม้าน้ำ มหัศจรรย์แห่งการสร้างสรรค์ด้วยนะคะ...
อินชาอัลลอฮฺ...แล้วจะมาโพสในกระทู้นิทานค่ะ...

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ