Re: บรรดาฮิกมะฮ์และปรัชญาต่าง ๆ แห่งบทบัญญัติอิสลาม By: ILHAM Date: ก.ค. 22, 2009, 06:30 PM
ชื่อหนังสือที่อ้างอิงคล้ายๆกับชื่อกระทู้เลย
Re: บรรดาฮิกมะฮ์และปรัชญาต่าง ๆ แห่งบทบัญญัติอิสลาม By: Tameem Addari Date: ก.ค. 23, 2009, 08:37 AM

Re: บรรดาฮิกมะฮ์และปรัชญาต่าง ๆ แห่งบทบัญญัติอิสลาม By: As-Zaleek Date: ก.ค. 24, 2009, 05:18 AM
ฮิกมะฮ์การกล่าวตักบีรในการเลื่อนรุกุ่นละหมาด
เป็นที่ทราบดีว่า ในการละหมาดนั้น มีการซิกรุลลอฮ์และมีการสรรเสริญพระองค์อย่างมากมาย ส่วนหนึ่งนั้นคือ การตักบีรเคลื่อนรุกุ่นในขณะละหมาด เมื่อจะทำการรุกั๊วะก็จะกล่าว อัลลอฮุอักบัร(อัลเลาะฮ์ทรงยิ่งใหญ่) เมื่อก้มลงสุยูดก็จะกล่าวว่าอัลลอฮุอักบัร เมื่อเงยขึ้นมาจากสุยูดก็กล่าวว่าอัลลอฮุอักบัร เมื่อจะขึ้นยืนรอกะอัตต่อไป ก็กล่าวว่าอัลลอฮุอักบัร (อัลเลาะฮ์ทรงยิ่งใหญ่) ฮิกมะฮ์ดังกล่าวนั้น เพื่อจะตอกย้ำให้ผู้ละหมาดรำลึกถึงอัลเลาะฮ์เสมอ เพื่อให้รู้ว่าอัลเลาะฮ์เท่านั้นทรงยิ่งใหญ่ในจิตใจของเขา อย่าเอาสิ่งอื่นเข้ามาอยู่ในจิตใจในขณะละหมาด เพื่อเขาจะได้ละหมาดเหมือนกับเห็นอัลเลาะฮ์ ด้วยสื่อการฟื้นฟูและตอกย้ำให้กล่าว "อัลลอฮุอักบัร" ในทุกท่วงท่าของละหมาด แต่ถ้าหากเราละหมาดโดยกล่าวว่า อัลลอฮุอักบัร (อัลเลาะฮ์ยิ่งใหญ่กว่าน่ะ อัลเลาะฮ์ยิ่งใหญ่กว่าน่ะ) แต่หากใจเรานึกสิ่งอื่น แสดงว่าปากกับใจไม่ตรงกัน จนกระทั่งกลายเป็นคนโกหกและกลับกลอกในละหมาดนั่นเอง วัลอิยาซุบิลลาฮ์ ขอให้เราพยายามตั้งใจละหมาดกันน่ะครับ
Re: ฮิกมะฮ์และปรัชญาแห่งบทบัญญัติอิสลาม By: nada-yoru Date: มี.ค. 09, 2010, 09:35 PM
อะไรคือฮิกมะฮ์ที่มารดามีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูบุตร?
"ศาสนาได้มอบสิทธิการเลี้ยงบุตรให้แก่มารดาก่อนบิดา
เพราะมารดานั้นมีความรักห่วงคิดถึงต่อบุตร มีความเอ็นดูเมตตา
มีความอดทนในการเลี้ยงดูบุตรมากกว่าผู้เป็นบิดา
และเพราะว่ามารดากนั้นมีความอดทนสูงในการเลี้ยงดูอัน
เนื่องจากนางอุ้มครรภ์มาอย่างยากลำบากและคลอดมาอย่างยากลำบาก
ท่านนบีจึงกล่าวว่า "เธอย่อมมีสิทธิ์ยิ่งต่อบุตรตราบใดที่ยังไม่แต่งงาน(ใหม่)"
อะไรคือฮิกมะฮ์ที่มารดาชอบอุ้มบุตรด้วยมือซ้าย?
ในขณะที่เด็กทารกกำลังส่งเสียงร้องไห้จอแจอย่างจ้าละหวั่น
เชื่อผมไหมครับว่าพวกเราจะได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเสมอๆ
เธอคนนี้มาพร้อมกับวิธีการโอบอุ้มทารกน้อยอย่างทะนุถนอม
ยากจะหาใครเปรียบได้ และคอยตระกองกอดเจ้าตัวเล็กไว้ที่อ้อมอก
จนกระทั่งเสียงนั้นสงบลง แล้วคุณผู้อ่านเชื่ออีกไหมครับว่าเจ้าตัวเล็กทั้งหลาย
จะหยุดงอแงทุกครั้งเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของเธอคนนี้
แน่นอนครับว่าผู้หญิงที่มีความสามารถพิเศษที่ผมพูดถึงอยู่นั้น
คงไม่ใช่ใครอื่นไกลนอกจากผู้เป็น”มารดา”นั่นเอง
แล้วคุณผู้อ่านเคยสังเกตไหมครับว่า
ผู้เป็นมารดาจะอุ้มบุตรของตนให้แนบอยู่บนหน้าอกซีกซ้าย
คุณเคยสังเกตเห็นฮิกมะฮ์ในสิ่งดังกล่าวหรือไม่ครับ ?
นั่นล่ะครับ.. เพราะว่าแท้จริงแล้ว มารดาจะอุ้มบุตรของตน
โดยวิธีการวางบุตรให้อยู่ใกล้กับหัวใจของนาง
ว่าแต่...คุณผู้อ่านมีความคิดเห็นอย่างไรครับ
เกี่ยวกับความเป็นความจำเป็นในการกระทำสิ่งดังกล่าว ?
ผมจะนำเสนอบรรดาข้อบ่งชี้ดังต่อไปนี้ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นไปได้ที่ว่า
“เสียงเต้นของหัวใจมารดา คือเสียงแรกที่ทารกได้ยินก่อนคลอดออกมา”
ตลอดระยะเวลาที่มารดาตั้งครรภ์ ทารกนั้นจะอยู่ในครรภ์มดลูก
ซึ่งอยู่ใกล้กับการเต้นของหัวใจผู้เป็นมารดา
ดังนั้นน้ำคร่ำที่อยู่รอบๆ ตัวทารกในมดลูกนั้น
จะเป็นสิ่งที่ทำให้ทารกมีระบบการเต้นของหัวใจ
จากจุดนี้เองได้ทำให้เราทราบว่าสถานภาพที่ทารกมีชีวิตอยู่ในครรภ์นั้น
เขาจะได้ยินระบบการเต้นของหัวใจผู้เป็นมารดา
ทารกจะได้รับสารอาหารมาหล่อเลี้ยง โดยไม่รู้สึกหิวและกระหาย
ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
และสภาพอากาศหนาวร้อนภายนอกครรภ์
หลังจากทารกถึงคราวคลอดนั้น ทารกจะมีความรู้สึกหนาวและร้อนเกิดขึ้น
มีความรู้สึกหิวกระหาย และสำคัญที่สุดคือทารกจะขาดจากการได้ยินเสียง
ระบบการเต้นของหัวใจมารดาเช่นในระยะเวลาที่เขาเคยอยู่อย่างสุขสบายในครรภ์
ตามหลักการดังกล่าวนี้ ความเกี่ยวพันจากการที่ทารกเคยได้ยินเสียงจังหวะ
การเต้นของหัวใจผู้เป็นมารดา พร้อมกับความรู้สึกสบายก่อนหน้านั้น
ทำให้ทารกรู้สึกคิดถึงคะนึงหาเสียงเต้นของหัวใจมารดาในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
เช่นนี้ผู้เป็นมารดาสมควรตระหนักถึงฮิกมะฮ์ข้างต้น ในขณะที่ได้โอบอุ้ม
ตระกองกอดบุตรของตน และนี่แหละคือความน่าอัศจรรย์ใจอย่างแท้จริง
ความผูกพันจากจังหวะการเต้นของหัวใจ จากแม่สู่ลูก..
มาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านรู้ไหมครับว่าผมกำลังคิดอะไร ?
ผมเฉลยให้ก็ได้ครับ เพราะว่าคุณคงเดากันไม่ถูกหรอก
ตอนนี้ผมกำลังคิดถึงผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ผู้หญิงคนที่ผมรักมากๆในชีวิต
นั่นแน่ะ...อย่าตกใจไปนะครับว่าสาวที่ไหนกัน ก็ ........ “แม่” ของผม
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ....
กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่สุดจะบรรยายเลยค่ะ ชอบสุดๆ

ปกติเวลาอุ้มเด็ก ก็จะอุ้มข้างซ้ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
มันเป็นของมันเองค่ะ ทั้งๆที่เป็นคนถนัดขวา
และก็ยังไม่ได้เป็นแม่คนด้วย...
ได้อ่านถึงตรงนี้แล้วรู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันค่ะ
ตอนอ่านแรกๆก่อนได้อ่านถึงบทเฉลยก็คิดว่า มันต้องเกี่ยวกับหัวใจแน่ๆ

ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเสียงของหัวใจ

และเท่าที่เคยสังเกตมา ผู้หญิงหลายๆคนเลยก็อุ้มเด็กน้อยข้างซ้ายกัน

ว่าแล้วก็คิดถึงผู้หญิงคนนั้น คนที่เคยอุ้มชูเรามาแต่เล็กแต่น้อย
อ้อมกอดแม่ต่างจากอ้อมกอดใครๆที่เคยได้กอด
แม่กอดลูกโดยไม่มีขัดเขินต่างจากพ่อค่ะ
ลูกเองก็กอดแม่ได้อย่างไม่ขัดเขินเช่นกัน
เพราะมันรู้สึกคุ้นเคยรุ้สึกคุ้นใจ อย่างคนที่หัวใจคุ้นเคย...

ญะซากัลลอฮุคอยรอนผู้นำเสนอค่ะ...
เดี๋ยวจะกลับมาอ่านต่อค่ะ เหลืออีก 4 หน้า อินชาอัลลอฮฺ...
ค่อยๆอ่าน จะได้ค่อยๆซึมค่ะ....อ่านไปซึ้งไปกับฮิกมะฮฺและปรัชญา
แห่งบทบัญญัติแห่งอิสลาม....

วัสลามค่ะ
Re: บรรดาฮิกมะฮ์และปรัชญาต่าง ๆ แห่งบทบัญญัติอิสลาม By: nada-yoru Date: ก.พ. 27, 2015, 12:13 AM
ฮิกมะฮ์การห้ามดอกเบี้ย
1. เป็นการทำลายเกียรติทรัพย์สินของมุสลิมด้วยการเอาเงินเพิ่มโดยมิได้มาด้วยการแลกเปลี่ยน
2. สร้างความเดือนร้อนแก่คนยากจน เพราะส่วนมากผู้ให้กู้ยืมจะร่ำรวย ส่วนผู้ขอกู้เป็นคนจน เมื่อคนรวยเอาเงินมากกว่าสิ่งที่ให้กู้ไป ก็จะสร้างความเดือดร้อนแก่คนจน
3. ไร้ความดีงามและความเห็นอกเห็นใจในเรื่องการกู้ยืมซึ่งกันและกัน
เมื่อก่อนตอนเด็กๆที่เรียนเรื่องการห้ามกินดอกเบี้ย ไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดอัลลอฮฺ
ถึงได้ห้ามสิ่งนี้นักหนา...
วันเวลาผ่านไป...จึงเข้าใจเลยว่าสิ่งนี้ช่างเป็นความน่ารังเกียจโดยแท้
อัลลอฮฺจะไม่สั่งห้ามสิ่งใด เว้นแต่สิ่งนั้นจะก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน...
และมันช่างมีอานุภาพทำลายล้างระบบสังคมได้แบบถึงรากถึงโคนเลยทีเดียว
คนจนไม่มีเงินลงทุนทำกิจการ...ต้องเอาที่ดินผืนน้อย(บางคร้ังมีแค่ผืนนั้นผืนเดียวด้วยซ้ำ)
เอาไปค้ำประกันเพื่อกู้เงิน...ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้เจ้าของเงินกู้
ไม่ว่าเงินที่เขานำไปลงทุนจะได้กำไรหรือไม่ได้กำไรก็ตาม ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้นายทุน
ท้ายที่สุด...ก็ไม่มีความสามารถจะประคองกิจการต่อไปได้...
ต้องปล่อยให้ที่ดินที่เอาไปค้ำประกันถูกยึด...
ถ้าเราได้เห็นสภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในสังคม...เราจะบอกได้อีกหรือไม่ว่า
นั่นคือความดีงาม...นั่นคือการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน...
เปล่าเลย...มันคือความเห็นแก่ตัว มันคือการเอาเปรียบ...
คนมีเอาสมบัติของคนจนไปครอบครอง...ไม่แปลกเลยที่ดอกเบี้ยคือสิ่งต้องห้าม
และผู้ที่เกี่ยวข้องจะได้รับโทษทัณฑ์...
ที่สำคัญ...ระบบธนาคาร...เงินที่เขาเอาไปปล่อยให้คนไม่มีเงินกู้
ก็ไม่ใช่เงินของเจ้าของธนาคารเลย แต่เป็นเงินของผู้คนที่นำเงินไปฝากธนาคาร...
แล้วสุดท้ายก็ได้ดอกเบี้ยของผู้กู้และได้อสังหาริมทรัพย์ที่ผู้กู้เอามาค้ำประกันเป็นทรัพย์นำมาใช้จ่าย...
...เหมือนคนที่ทำมาหากินด้วยการกินน้ำตาคนจนเป็นอาหาร...
เหมือนการทำนาบนหลังผู้อื่น...
ต่อให้ร่ำรวยล้นผืนฟ้า...มีเงินกองเท่าภูเขา...
ก็ไม่น่าเชิดชูยกย่องแต่อย่างไร...
ปล.ชอบกระทู้นี้มากๆ ขอขุดค่ะ...
วัสลามค่ะ
Re: บรรดาฮิกมะฮ์และปรัชญาต่าง ๆ แห่งบทบัญญัติอิสลาม By: nada-yoru Date: มี.ค. 14, 2016, 03:42 PM
ฮิกมะฮ์การห้ามถอนขนที่ใบหน้า
1400 ปีมาแล้ว ที่พวกเขาเพิ่งตรวจพบถึงฮิกมะฮ์การห้ามถอนขนที่ใบหน้า จากการทดลองพบว่า เส้นขนคิ้วทุก ๆ เส้นนั้นจะเชื่อต่อกับเซลล์ที่มาจากส่วนของศีรษะ การถอนขนหรือถอนขนบนใบหน้านั้น จะนำไปพาไปสู่การถอนเซลล์ออกไปจากร่างกาย
ส่วนอีกฮิกมะฮ์หนึ่งก็คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงการสรรสร้างของอัลเลาะฮ์ตะอาลา
และสตรีผู้ถอนขนที่ใบหน้าหรือขอให้ทำการถอนขนนั้นจะถูกทำให้ห่างไกลจากความเมตตาของอัลเลาะฮ์ตะอาลา และภายใต้ขนคิ้วนั้นจะไม่เซลล์ที่อาจจะก่อมะเร็ง ทุกครั้งที่ทำการถอนขนคิ้ว ก็จะนำไปสู่การกระตุ้นเซลล์ดังกล่าว วัลลอฮุอะลัม
ตอนที่ไม่รู้ก็เคยถอนขนคิ้วค่ะ แต่พอได้รู้ก็เลิกถอนไปนานแล้ว...
ก็เลยอยากขุดประเด็นนี้ขึ้นมา เผื่อพี่น้องเราผ่านเข้ามาอ่านและยังไม่รู้ในเรื่องนี้
จะได้กระจ่างใจ และละทิ้งสิ่งที่จะทำให้ตนเองเสียหายไป ^^