Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: Al Fatoni Date: ต.ค. 12, 2010, 02:47 PM
เนื้อหาของศิฟัต ๒๐ ก็เอามาจากอัลกุรฺอานและอัสสุนะฮ์อยู่แล้วครับ มันเป็นคำสรุปอกีดะฮ์สั้นๆ จากทั้งสองแหล่งดังกล่าว ซึ่งก็จะมีอุละมาอ์ผู้เชียวชาญ เอามาอธิบายกันอีกที พร้อมทั้งอ้างอิงหลักฐานไปยังกิตาบุลลอฮฺและอัสสุนนะฮ์ด้วย ผมเรียนศิฟัต ๒๐ มาตั้งแต่เด็ก ยังไม่เคยได้ยินโต๊ะครูท่านไหนกล่าวว่า เราต้องเชื่อว่าอัลลอฮฺมีแค่ ๒๐ ศิฟัตนะ มากกว่านี้ไม่ได้ ไม่เคยได้ยินครับ แต่ที่ได้ยิน มีแต่จะบอกว่า ศิฟัตอัลลอฮฺนั้นมีมากมาย นับไม่ถ้วน แต่ศิฟัตหลักๆ ที่อุละมาอ์ค้นคว้า วิคราะห์จากอัลกุรฺอานและอัสสุนนะฮ์นั้น ส่วนใหญ่จะลงมติว่า มี ๒๐ ศิฟัต แต่บางท่านก็ว่ามีแค่ ๑๓ หรือบางท่านก็มีแค่ ๗ ศิฟัต หรือบางท่านก็ว่ามีแค่ ๒ ศิฟัต แต่ทั้งหมดนั้น เป็นแต่เพียงการวินิจฉัยเท่านั้น แต่เนื้อหาและหลักยึดมั่นเหมือนกัน แต่ทุกคนต่างก็อ้างมาจากอัลกุรฺอานและอัสสุนนะฮ์กันทั้งนั้นครับ - วัลลอฮุอะอ์ลัม
Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: Al Fatoni Date: ต.ค. 12, 2010, 02:58 PM
ส่วนในเรื่องว่า แบบไหนจะครอบคลุมเนื้อหาที่ถูกกล่าวในอัลกุรฺอานและอัสสุนนะฮ์มากกว่านั้น นั่นก็ขึ้นอยู่กับความลึกซึ้งของอุละมาอ์ที่ทำการสรุปนั้นอีกทีแล้วละครับ ผมเชื่อว่าไม่มีมนุษย์คนไหนจะมีความสมบูรณ์แบบไปทุกอย่างได้เท่ากับนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม หรอกครับ - วัลลอฮุอะอ์ลัม
Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: hiddenmin Date: ต.ค. 12, 2010, 08:19 PM
รู้สึกแปลกใจ ที่บอกเหมือนกับว่าซิฟัต 20 นั้นไม่ได้มาจากอัลกุรอาน
บอกยังกะเรานั่งนึกเขียนขึ้นมาเอง
Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: บาชีร Date: ต.ค. 12, 2010, 10:51 PM

มันเป็นแปลภาษาของแต่ละคน คำว่าประทับ สถิต บนบันลัง ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านก็คือนังอยู่บนเก้าอี้ ผมคิดว่าผู้ที่แปลความหมายนี้พยายามที่จะให้เหมาะสม
กับพระองค์มากที่สุด ถ้าหากมีในภาษาไทยที่เหมาะสมกว่านี้ผมคิดว่าพวกเขาคงจะเอาคำนั้นมาใช้ที่สามารถจะสื่อให้ผู้คนรู้ความหมายอันนี้

สงสาร
Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: sunny Date: ต.ค. 13, 2010, 11:26 AM
ผู้รู้ในเวปช่วยตอบเค้าไปทีสิครับว่า เมื่อก่อนนักปรัชญาโจมตี อิสลามยังไง อิสลามใช้อะไรปกป้อง
นัก ปรัชญาใช้ตรรกโจมตี แล้วอุลามะฮ์ สมัยก่อนใช้อะไร ตอบโต้ถ้าไม่ใช่ตรรกที่ตั้งอยู่บนกุรอ่านและซุนนะฮ์
นั่น คือ ซีฟัต 20 แล้วถ้าคุณใช้กุรอ่านอย่างเดียวอยากถามว่านักปรัชยาสมัยนั้นเชื่อในกุรอ่านมั้ย ?
การจะตอบโต้เค้าต้องเอาส่ิงที่ทุกฝ่ายยอมรับ....แล้วคุญจะเอาอะไรไปตอบเค้า.....
ส่วนประเด็นว่ามำไมต้อง 20 นั่นคือ ประเด็นที่ เป็นปัญหาโดนโจมตีมานานแล้ว
อุลามะฮ์วางแนวทางไว้ป้องกันเฉพาะประเด็นที่เป็นปัญหา
ท่านไม่ร้หรือว่าการตีความของบรรดาอุลามะฮ์ทำไปเพื่ออะไร......
และฝ่ายที่ไม่มีการตีความทำไปเพื่ออะไร.....
ลองพิจารณาคำถามเหล่านี้ท่านจะได้คำตอบ
อูลามะฮ์สมัยก่อนไม่ขัดแย้งกันในเรื่องนี้เพราะต่างฝ่ายต่างรู้จุดยืน
ของแต่ละฝ่าย ต่างทำไปเพื่อประโยชน์ของมุสลิม
ไม่ใช่มองแคบๆ

Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: Rachyds Date: ต.ค. 13, 2010, 12:11 PM

วูยุด 013:002,020:005,057:001,057:004,002:186,050:016,006:103,007:143,067:014,050:032,050:033
วาฮดานิยะ 112:001,112:004,016:051,016:052,023:091,021:021,021:022,021:024,021:025
เอาวาลูวัลอาคิรุ 057:003,055:026,055:027,028:088
คุดรอต 054:049,054:050,036:083,050:038,025:021,025:002,054:049,022:005,002:006,024:045,035:044,035:045,002:255
อิรอดะฮ 028:068,002:034,003:026,003:027,042:049,002:117,003:047,036:082,040:068
คนที่ปฏิเสธหรือไม่ยอมรับซีฟัต 20 ก็อาจกล่าวได้ว่าไม่ยอมรับในอัลกุรอาน เพราะหลักฐานต่างๆเหล่านี้ล้วนมาจากอัลกุรอานทั้งสิ้น
อิลมู 010:061,031:027
กาลัม 004:164,007:143,042:051
ซามาวัลบาซอร 042:011,020:046,058:001,041:036,042:027,002:061,006:103
Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: Al Fatoni Date: ต.ค. 13, 2010, 01:53 PM
ผมได้ยินอยู่บ่อยครั้งที่ผู้รู้บางท่านที่ไม่เห็นด้วยกับศิฟัต ๒๐ มักจะกล่าวว่า สมัยก่อนอุละมาอ์ใช้ตรรกวิทยาในการตอบโต้พวกนักปรัชญาและพวกที่ชอบใช้สติปัญญาซึ่งแพร่ระบาดในสมัยนั้น แต่ปัจจุบัน พวกนักปรัชญาหมดไปแล้ว ไม่มีแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อที่จะต้องใช้สติปัญญาในการปกป้องอกีดะฮ์ เพราะมันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อิสลามไม่ได้ต้องการมันเลย
หลังจากที่ฟังผู้รู้ท่านนี้พูด ผมก็ลองเอามาวิเคราะห์ดูว่าจริงอย่างที่ท่านกล่าวไหม และแล้ว ผมก็ลงความเห็นเป็นการส่วนตัวว่า สิ่งที่ผู้รู้ท่านพูดนั้น เป็นการพูดแบบเหมือนเอาผ้าปิดตาและเอาบีปมาคลุมหัวอีกที แล้วก็ชี้นู้นว่านี่ว่าเป็นนั่นนี่ต่างๆ นานา ผิดบ้างถูกบ้าง พูดง่ายๆ คือ พูดโดยที่ไม่มองความเป็นจริง พูดในลักษณะที่สังเกตเห็นชัดเจนว่า ตักลีดคำพูดของผู้รู้ท่านอื่นมาอีกที
หากเราวิเคราะห์กันจริงๆ แล้วนั้น เริ่มแรกของสรรพวิชาทางโลกนั้นล้วนแยกออกมาจากวิชาปรัชญาทั้งนั้น หนึ่งในนั้นก็คือวิชาวิทยาศาสตร์ที่ได้แยกเอกเทศออกมา เพราะมันสามารถหาคำตอบที่ตายตัวแก่คำถามต่างๆ ได้ ซึ่งวิชาไหนที่ยังหาคำตอบไม่ได้ หรือมีคำตอบที่มีความเป็นไปได้ทุกทางนั้น ก็ถือว่ายังคงอยู่ในกรอบของปรัชญา อย่างไรก็ตาม แม้ในอดีต บรรพบุรุษของเราได้ประสบกับปัญหาแนวคิดของพวกนักปรัชญาที่มักจะสาดคำถามเชิงตรรกะมาอยู่ตลอดเวลา ในปัจจุบัน ใช่ว่าคำถามเหล่านี้จะหมดไป หากแต่มีมากขึ้นด้วยซ้ำ แถมยังซับซ้อนและหาคำถามยากเสียด้วยซ้ำ และคำถามเหล่านั้น ก็ยังคงมีกลิ่นอายของหลักตรรกะอย่างเข้มข้นอยู่ ฉะนั้น คำพูดที่ว่า ปัจจุบันการใช้สติปัญญาเพื่อปกป้องหลักอกีดะฮ์อิสลามียะฮ์นั้น ถือว่าฟังไม่ขึ้น เราใช้สติปัญญาเป็นแต่เพียงตัวช่วยเท่านั้น แต่ไม่ใช่ตัวหลักในการป้องกัน เพราะถึงอย่างไร หากอัลลอฮฺไม่ชี้นำทางแก่บุคคลใด เขาก็ย่อมไม่ได้รับการชี้นำ - วัลอิยาฑุบิลลาฮฺ - วัลลอฮุอะอ์ลัม
Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: al-azhary Date: ต.ค. 13, 2010, 03:02 PM
ผมได้ยินอยู่บ่อยครั้งที่ผู้รู้บางท่านที่ไม่เห็นด้วยกับศิฟัต ๒๐ มักจะกล่าวว่า สมัยก่อนอุละมาอ์ใช้ตรรกวิทยาในการตอบโต้พวกนักปรัชญาและพวกที่ชอบใช้สติปัญญาซึ่งแพร่ระบาดในสมัยนั้น แต่ปัจจุบัน พวกนักปรัชญาหมดไปแล้ว ไม่มีแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อที่จะต้องใช้สติปัญญาในการปกป้องอกีดะฮ์ เพราะมันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อิสลามไม่ได้ต้องการมันเลย
วะฮาบีย์เพียงแต่ว่า อิสลามของพวกเขาต้องมีวิถีหรือหลักการเหมือนกับพวกเขาเท่านั้น ทั้งที่ความจริงแล้ว กว่าอิสลามจะมาถึงพวกเรา บรรดปราชญ์ทั้งหลายต้องต่อสู้พวกนอกศาสนากันพอสมควร ในประวัติศาสตร์ เมื่ออิสลามได้แผ่ขยายยังดินแดนต่างๆ ที่มีอารยธรรมมากมาย เช่น เปอร์เซีย ชาม(คือ ซีเรีย อีรัก ปาเลสไตน์ เลบานอน เป็นต้น) และอียิปต์ ดังนั้นพวกเปอร์เซียต่างนับถือศาสนา มานาวี พวกเชื่อว่าโลกเกิดขึ้นจากความมือและแสงสว่าง ดังนั้นพระเจ้าก็มาจากภาคของแสงสว่าง เป็นต้น ส่วนพวกยะฮูดีและคริสต์มีอิทธิพลแถบชามและอียิปต์(ซึ่งอยู่ในการปกครองของพวกคริสต์บัยเซนไตในขณะนั้น) เมื่อพวกเขารู้ตัวว่าพ่ายแพ้ไม่สามารถต่อต้านกองทัพของมุสลิมีนได้ พวกเขาจึงโจมในการด้าอารยธรรมและหลักอะกีดะฮ์ของอิสลาม เพื่อให้มุสลิมมีความอ่อนแอในแง่ของจิตวิญญาณของอิสลามและทำให้มีความแตกแยกกัน ดังนั้นพวกคริสต์จึงเคลื่อนไหวด้วยการใช้ปรัชญาตรรกและเหตุผลในการโต้เถียงกับมุสลิมีนในเรื่องของอัลเลาะฮ์และซีฟาตของพระองค์ เมื่อปราชญ์มุสลิมีนเล็งเห็นว่ากำลังเผชิญต่อการจู่โจมทางอารยธรรมและหลักความเชื่อด้วยการใช้ปรัชญาและสติปัญญามาหักล้างของพวกคริสต์เหล่านั้น และการยกอัลกุรอานและยกฮะดีษแบบเพียวๆ มาหักล้างโต้ตอบ พวกยิวและคริสต์ก็ไม่ยอมรับฟังเป็นพื้นฐานเดิมอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยอะมะวีย์ ที่มีนักปราชญ์คริสต์นาม อัลอัสก็อฟ ยูฮันนา ได้ทำการเรียบเรียงตำราเพื่อโจมตีอิสลามด้วยวิธีการ ถาม-ตอบ เชิงตรรกและเหตุผล ปราชญ์มุสลิมีนที่มีความฉลาดปราดเปรื่อง จึงต้องมีความจำเป็นในการศึกษาปราชญ์และตรรกเพื่อทำการโต้ตอบพวกยิวและคริสต์ อิลมุลกะลามของอิสลามจึงเกิดขึ้นเพื่อทำการต่อสู้และยับยั้งปรัชญาและตรรกของพวกเขาคริสต์ดังกล่าว (ทบทวนรายละเอียดจากหนังสือ ตารีก ฟิกริล ฟัลซะฟีย์ อัลอิสลามีย์ หน้า 138-139 ของท่าน มุฮัมมัด อะลี อบู ร็อยยาน)
ครั้งหนึ่งในสมัยของอับบาซีย์ กษัตริย์แห่งเมืองซินด์(อินเดีย)ได้ส่งทูตคนหนึ่งจากพวกซัมนีย์(พวกพุทธ) ยังค่อลีฟะฮ์ฮารูณ อัรร่อชีด ซึ่งในสารระบุเนื้อหาความว่า "ท่าน(คือฮารูณ อัรร่อชีด) เป็นหัวหน้าของชนกลุ่มหนึ่งที่มีใจไม่เป็นธรรม ดังนั้นหากท่านมีความมั่นใจในศาสนาของท่านจริง ก็จงส่งบุคคลหนึ่งมายังฉันเพื่อทำการถกเสวนากัน หากสัจธรรมอยู่พร้อมกับท่าน ฉันก็จะตามท่าน แต่หากสัจธรรมอยู่พร้อมกับฉัน ท่านก็ต้องตามฉัน" ดังนั้นท่านฮารูณอัรร่อชีด ได้ส่งนักฮะดีษท่านหนึ่งไป เมื่อเขาไปถึงอินเดีย(แค้วนซินด์) กษัตริย์แห่งซินด์จึงต้อนรับและให้เกียรติ หลังจากนั้นกษัตริย์จึงเชิญปราชญ์ซัมนีย์มาถกเสวนากับนักฮะดีษผู้นั้น ปราชญ์ซัมนีย์ถามนักฮะดีษท่านนั้นว่า "ท่านจงบอกฉันเถิด เกี่ยวกับพระเจ้าของท่านว่า มีความสามารถที่จะสร้างพระเจ้าอีกองค์ที่เหมือนกับพระองค์ใหม?" นักฮะดีษจึงตอบว่า "นี้เป็นเรื่องของอิลมุลกะลาม ซึ่งเป็นบิดอะฮ์ บรรดาปราชญ์แห่งเราให้การตำหนิ หลังจากนั้นกษัตริย์ซินด์ จึงส่งนักฮะดีษกลับไปพร้อมกับส่งสารรายงานเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่าท่านฮารูณ อัรร่อชีด โกรธ และกล่าวว่า ศาสนา(อิสลาม)นี้ ไม่มีผู้ใดที่จะปกป้องศาสนานี้แล้วกระนั้นหรือ? จึงมีชายคนหนึ่งกล่าวว่า หามิได้ โอ้หัวหน้าแห่งศรัทธาชน ผู้ที่สามารถปกป้องศาสนา(ด้วยการถกเสวนากับพวกนอกศาสนานั้น) ถูกท่านห้ามจากการถกเสวนาเชิงวิชาการ และพวกเขาเหล่านั้นถูกท่านสั่งคุมขังในคุกตาราง ดังนั้นท่านฮารูณอัรร่อชีดจึงปลดปล่อยพวกเขาออกมาและแผ่กระจายไปสู่หน้าแผ่นเดินเพื่อปกป้องอัลอิสลาม (ดูเพิ่มเติมจากหนังสือ อิลมุลกะลาม หน้า 31 ของท่านอะห์มัด มะห์มูด ซุบห์)
ดังนั้นหากอะกีดะฮ์ใดไปสอดคล้องหรือคล้ายคลึงกับพวกอะกีดะฮ์บิดอะฮ์หรือพวกยิวและคริสต์ ก็จะรู้สึกทุกข์ร้อนกับวิชาอิลมุลกะลามของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ที่คอยปกป้องศาสนาอิสลามให้บริสุทธิ์อยู่ในทุกยุคสมัย
วัลลอฮุอะลัม
Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: Al Fatoni Date: ต.ค. 13, 2010, 03:27 PM
บางครั้งผมไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงต้องปฏิเสธการใช้สติปัญญาในเรื่องอกีดะฮ์ด้วย มันเหมือนกับเรากำลังจะปฏิเสธคำสั่งของอัลกุรฺอานทั้งอ้อม หรืออาจจะทางตรงด้วยซ้ำ เพราะมีหลายอายะฮ์ด้วยกันที่สั่งให้เราใช้สติปัญญาเพื่อใคร่ครวญถึงการมีอยู่จริงของพระผู้สร้าง แต่ใยต้องมีห้ามในเรื่องนี้ นี่แหละ อกีดะฮ์ของวะฮาบีย์ที่ดูภายนอกสวยหรู แต่แฝงด้วยความขัดแย้งกันเองจนกลับตาลปัตรไปหมด คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือ คนเอาวาม หรือชาวบ้านทั่วๆ ไป นี่แหละ วัลอิยาฑุบิลลาฮฺ
Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: sunny Date: ต.ค. 13, 2010, 06:44 PM
บอกแล้วไงฟัตวาวะฮาบีน์บางคนมันสับสน
พอถามไปถามมาก็ขัดแย้งกันสับสนไปหมด

Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: Muftee Date: ต.ค. 14, 2010, 03:47 AM
หลังจากนั้นกษัตริย์ซินด์ จึงส่งนักฮะดีษกลับไปพร้อมกับส่งสารรายงานเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่าท่านฮารูณ อัรร่อชีด โกรธ และกล่าวว่า ศาสนา(อิสลาม)นี้ ไม่มีผู้ใดที่จะปกป้องศาสนานี้แล้วกระนั้นหรือ? จึงมีชายคนหนึ่งกล่าวว่า หามิได้ โอ้หัวหน้าแห่งศรัทธาชน ผู้ที่สามารถปกป้องศาสนา(ด้วยการถกเสวนากับพวกนอกศาสนานั้น) ถูกท่านห้ามจากการถกเสวนาเชิงวิชาการ และพวกเขาเหล่านั้นถูกท่านสั่งคุมขังในคุกตาราง ดังนั้นท่านฮารูณอัรร่อชีดจึงปลดปล่อยพวกเขาออกมาและแผ่กระจายไปสู่หน้าแผ่นเดินเพื่อปกป้องอัลอิสลาม (ดูเพิ่มเติมจากหนังสือ อิลมุลกะลาม หน้า 31 ของท่านอะห์มัด มะห์มูด ซุบห์)
วัลลอฮุอะลัม
ผมอ่านมาถึงตัวที่ทำสีแดงแล้ว รู้สึกขนลุกเลยครับ....
ดังนั้นท่านฮารูณอัรร่อชีดจึงปลดปล่อยพวกเขาออกมาและแผ่กระจายไปสู่หน้าแผ่นเดินเพื่อปกป้องอัลอิสลาม รู้สึกเห็นภาพเหมือนกับว่า ท่าฮารูน อัร-รอชีด กำลังปล่อยเหล่าบรรดานักรบชั้นยอดและเหล่าบรรดายอดฝีมือต่างๆ ออกมาจากหอนักรบ เพื่อเผชิญหน้ากับพรรคมาร

Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: al-firdaus~* Date: ต.ค. 14, 2010, 02:12 PM
ผมอ่านมาถึงตัวที่ทำสีแดงแล้ว รู้สึกขนลุกเลยครับ..........
กำลังปล่อยเหล่าบรรดานักรบชั้นยอดและเหล่าบรรดายอดฝีมือต่างๆ ออกมาจากหอนักรบ เพื่อเผชิญหน้ากับพรรคมาร

เอ่อ...ท่าน Muftee ค๊ะ
ก่อนที่นักรบยอดฝีมือจะเงื้อดาบ มีข่มขวัญพวกพรรคมารมั้ย เช่นว่า
"ดาบข้าตีด้วยเหล็กเย็นใช้เวลาเจ็ดปี หรือไม่ก็ อาบเลือดมาแล้วกว่าร้อยศพ" อะไรประมาณนี้
(อินจังเรยนะคะ เรื่องยุทธจักรพรรคมาร)
Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: Beechern Date: ต.ค. 14, 2010, 03:29 PM
บอกแล้วไงฟัตวาวะฮาบีน์บางคนมันสับสน
พอถามไปถามมาก็ขัดแย้งกันสับสนไปหมด

ผมไม่ขอแย้งกับผู้รู้
แต่ผมขอบอกว่า ประสบการณ์ผมกับความรู้ความคิดผมทั้งหมดมันประมวลผลออกมาว่า สิ่งที่คุณกล่าวถึงนั้น
"เป็นไปได้"
หลักการที่ยึดแต่ "รูปธรรม" โดยมองข้าม "นามธรรม" นั้น สติปัญญาผมบอกว่า
"ไม่สมบูรณ์"(เช่นเดียวกับการยึดแต่เพียงนามธรรม แล้วมองข้ามรูปธรรม ก็ไม่สมบูรณ์เช่นกัน)
Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: nuree Date: ต.ค. 14, 2010, 07:20 PM

ขอโทษครับที่ทำให้พวกท่านสับสนเพราะมันคนละกระทู้เลยไม่รู้ที่มาที่ไป
อากีดะห์ของศาสนาอิสลาม นับตั้งแต่ นบีอาดัมมาจนถึ่งท่านศาสนทูต มุฮัมหมัด (ซล)จะเป็นอากีดะห์ที่เหมือนกันและทุกยุคทุกสมัยก็มีผู้เห็นด้วยและผู้ที่ไม่เห็นด้วย และก็มีผู้ที่เบียงแบน
ผมยังสงสัยเลยว่า ในสมัยของท่านศาสนทูตนั้น พวกเขาตอบคำถามพวกที่เบียงแบนเกียวกับอากีดะห์ว่าอย่างไรและมีหรือไม่ หรือว่าในสมัยนั้นยังไม่มีอิลมูกาลาม พวกเขาได้แต่ตามอย่างเดียว โดยไม่มีความเห็นใดๆ
และทำไม่ท่านศาสนทูตถึ่งไม่ใช้อิลมูกาลาม

Re: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม By: As-Zaleek Date: ต.ค. 14, 2010, 07:56 PM

ขอโทษครับที่ทำให้พวกท่านสับสนเพราะมันคนละกระทู้เลยไม่รู้ที่มาที่ไป
อากีดะห์ของศาสนาอิสลาม นับตั้งแต่ นบีอาดัมมาจนถึ่งท่านศาสนทูต มุฮัมหมัด (ซล)จะเป็นอากีดะห์ที่เหมือนกันและทุกยุคทุกสมัยก็มีผู้เห็นด้วยและผู้ที่ไม่เห็นด้วย และก็มีผู้ที่เบียงแบน
ผมยังสงสัยเลยว่า ในสมัยของท่านศาสนทูตนั้น พวกเขาตอบคำถามพวกที่เบียงแบนเกียวกับอากีดะห์ว่าอย่างไรและมีหรือไม่ หรือว่าในสมัยนั้นยังไม่มีอิลมูกาลาม พวกเขาได้แต่ตามอย่างเดียว โดยไม่มีความเห็นใดๆ
และทำไม่ท่านศาสนทูตถึ่งไม่ใช้อิลมูกาลาม

แล้วในสมัยนบีอาดัมเนี่ย มีพวกยิว พวกคริส พวกปรัชญากรีกที่คอยทำลายอะกีดะฮ์อิสลามแล้วหรือยัง?! สมัยทา่นบี(ซ.ล.)มีวิชามุศต่อละห์ฮะดีษหรือเปล่า?! มีวิชาอุศูลุลฟิห์เปล่า? มีวิชาอุศูลตัฟซีรไหม?
ดังนั้นคุณ nuree จึงหลงประเด็นอย่างแรง ไร้สมองในการรู้จักแยกแยะ วิชากะลามเป็นวิชาที่ปกป้องพวกนอกศาสนามาทำลายอะกีดะฮ์อิสลามที่อยู่ในจิตวิญญาณของมุสลิมทั่วไป พวกนอกศาสนาจะใช้สติปัญญาที่เบี่ยงเบนในการเผยแพร่ความเชื่อของตน ดังนั้นปราชญ์แห่งโลกจึงเล็งเห็นว่ามีความจำเป็นในการใช้สติปัญญาในการหักล้างพวกเขา...
ท่านนบีอิบรอฮีมก็ใช้สติปัญญาในการหักล้างพวกพร้องของตนความว่า
"ครั้นเมื่อกลางคืนปกคลุมเขา เขาได้เห็นดาวดวงหนึ่ง เขากล่าวว่า นี้คือพระเจ้าของฉัน แต่เมื่อมันลับไป เขาก็กล่าวว่า ฉันไม่ชอบบรรดาสิ่งที่ลับไป ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงจันทร์กำลังขึ้น เขาก็กล่าวว่านี้คือพระเจ้าของฉัน แต่เมื่อมันลับไป เขาก็กล่าวว่า ถ้าพระเจ้าของฉันมิได้ทรงแนะนำฉันแล้ว แน่นอนฉันก็จะกลายเป็นคนหนึ่งในกลุ่มชนที่หลงผิด ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงอาทิตย์กำลังขึ้น เขาก็กล่าวว่า นี้แหละคือพระเจ้าของฉัน นี้แหละใหญ่กว่า แต่เมื่อมันได้ลับไป เขาก็กล่าวว่า โอ้กลุ่มชนของฉัน! แท้จริงฉันขอปลีกตัวออกจากสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคีขึ้น (แก่อัลลอฮ์)" อัลอันอาม 76-78
หมายถึงพระเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง(เหมือนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว) เพราะทุกสิ่งที่เปลี่ยนเแปลงนั้นเป็นมัคโลคและต้องการผู้ที่ทำให้มันเปลี่ยนแปลง ดังนั้นอัลลอฮ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อพระองค์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พระองค์ก็ไม่ใช่มัคโลค เมื่อพระองค์มไ่ม่ใช่มัคโลค แน่นอนว่าพระองค์คือพระเจ้าที่แท้จริงนั่นเอง นี่คือการใช้ตรรกหรือเหตุผลของนบีอิบรอฮีม
หากมีพวกนอกศาสนาุถามว่า ทำไมพระเจ้ามีสององค์ไม่ได้ เราตอบด้วยสติปัญญาที่ว่า "หากฟากฟ้าและแผ่นดินมีพระเจ้าสององค์ มันก็จะพินาศ เพราะอีกองค์ต้องการจะสร้าง แต่อีกองค์ต้องการจะทำลาย แล้วมันสรรพสิ่งทั้งหลายจะเกิดได้อย่างไร และหากว่าพระเจ้าสององค์ช่วยกันสร้าง ก็แสดงว่าทั้งสององค์ก็อ่อนแอไม่มีเดชานุภาพอย่างแท้จริง เพราะต้องการอีกองค์ในการช่วยเหลือและสร้างจักรวาล
ซึ่งหลักวิชาอิลมุลกะลามหรือหลักสติปัญญานี้ ล้วนนำมาจากคำสอนของอัลกุรอานทั้งสิ้นทั้งปวง และเป็นที่มาของวิชาอิลมุลกะลามของอิสลามที่อยู่บนรากฐานของอัลกุรอานและซุนนะฮ์...
คือในอายะฮ์ที่ว่า
لو كان فيهما آلهة إلا الله لفسدتا
และอายะฮ์ที่ว่า
ان الله على كل شيء قدير
ส่วนพวกนอกศาสนาและพวกอะกีดะฮ์บิดอะฮ์ ก็จะกลัววิชาอิลมุลกะลามของอิสลาม(อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์)
เช่นวะฮาบีบอกว่า อัลเลาะฮ์ทรงเคลื่อนไหวเคลื่อนย้ายได้ เราก็แย้่งว่า ไม่มีหลักฐานระบุว่าอัลเลาะฮ์ทรงเคลื่อไหว และสติปัญญาก็ไม่ยอมรับด้วย เพราะการเคลื่อนไหวเป็นคุณลักษณะของมัคโลค และอัลลอฮ์ไม่เหมือนคุณลักษณะของมัคโลค เนื่ืองจากพระองค์ทรงตรัสว่า "พระองค์ไม่มีสิ่งใดเหมือนกับพระองค์"
เจอหลักการแค่นี้แหละ วะฮาบีลมออกหู! ไปโทษวิชาอิลมุลกะลามของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ดังนั้นวะฮาบีจึงไม่ชอบวิชาอิลมุลกะลาม ซึ่งที่ไม่ชอบนั้นไม่ใช่เพราะไปทำให้อะกีดะฮ์อิสลามต้องมัวหมอง แต่ไม่ชอบเพราะไปแฉและค้านกับอะกีดะฮ์ที่วะฮาบีจะเอานั่นเอง...