แต่นัฟซูไม่ถูกล่ามโซ่

เป็นที่ทราบดีว่าเดือนร่อมะฎอนอันประเสริฐ  บรรดาประตูแห่งความดีงามทั้งหลายจะถูกเปิด และบรรดาประตูแห่งความชั่วร้ายจะถูกปิด  ซึ่งดังกล่าวนี้ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวความว่า 

إِذَا جَاءَ رَمَضَانُ فُتِّحَتْ أَبْوَابُ الْجَنَّةِ وَغُلِّقَتْ أَبْوَابُ النَّارِ وَصُفِّدَتْ الشَّيَاطِينُ

“เมื่อร่อมะฎอนมาถึง บรรดาประตูของสวรรค์จะถูกเปิด และบรรดาประตูของนรกจะถูกปิดและชัยฏอนถูกล่าม” (รายงานโดยมุสลิม, ฮะดีษเลขที่ 1079)

คำว่า [فُتِّحَتْ] “ถูกเปิดประตูสวรรค์” นั้นสามารถตีความได้ตามความหมายแบบผิวเผินตรงตัว  ฉะนั้นดังกล่าวจึงเป็นเครื่องหมายหนึ่งที่บ่งชี้ถึงเดือนร่อมะฎอนมีความบะร่อกะฮ์ และมีความดีงามอันมากมายที่เป็นความหวังของผู้ปฏิบัติอิบาดะฮ์  และยังสามารถตีความได้อีกเช่นกันว่า เป้าหมายของ “การเปิดประตูสวรรค์” นั้นก็คือ ความมากมายมหาศาลของผลบุญในการถือศีลอดและการปฏิบัติอิบาดะฮ์ในเดือนนี้  จะนำไปสู่สวรรค์  และคำว่า “ประตูนรกถูกปิด” หมายถึง ความมากมายของการอภัยโทษและไม่ถือสาเอาความผิด”  และคำว่า [صُدِّفَتْ]  หมายถึง การล่ามด้วยโซ่ตรวน (อัลมุนตะกอ ชัรหุลมุวัฏเฏาะอ์, 2/75) 

ฉะนั้นจึงถูกตั้งคำถามขึ้นว่า  เหตุใดเดือนร่อมะฎอนชัยฏอนถูกล่ามโซ่  แต่ก็ยังมีคนทำชั่วคำตอบก็คือ: เพราะว่าความชั่วต่าง ๆ ที่เขาเคยกระทำมาเป็นประจำนั้น  มันได้ฝังแน่นอยู่ในจิตใจจนเกิดความเคยชิน  จนกลายเป็นนัฟซูที่คอยชักนำให้กระทำชั่วได้แม้กระทั้งในเดือนร่อมะฎอน  เช่น  บางคนชอบนินทาผู้อื่น  ชอบอิจฉาริษยา  และชอบพูดโกหก  ชอบขาดละหมาด  และเกียจคร้านทำอิบาดะฮ์ เป็นต้น  เมื่อเดือนร่อมะฎอนมาถึง  เขาก็ยังมีการนินทาผู้อื่น  อิจฉาริษยา  และชอบพูดโกหก  และละหมาดไม่ค่อยจะทำ  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเขาได้เคยกระทำจนติดเป็นนิสัยก่อนเดือนร่อมะฎอน  และเมื่อถึงเดือนร่อมะฎอน  นัฟซูหรืออารมณ์ใฝ่ต่ำก็จะชักนำให้กระทำอีกนั่นเอง

ดังนั้น  ถึงแม้ว่าชัยฏอนจะถูกล่ามโซ่ไว้แล้ว  แต่อารมณ์นัฟซูใฝ่ต่ำยังไม่ถูกล่ามไว้  ซึ่งอยู่ที่ตัวของบุคคลนั้นจะควบคุมและล่ามมันไว้ได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง?

คำว่า นัฟซู [اَلنَّفْسُ] ในที่นี้ หมายถึง  "อารมณ์ตามธรรมชาติของสัตว์เดรัจฉานที่เป็นองค์ประกอบอยู่ในตัวตนของมนุษย์ และเป็นสิ่งที่จะชักนำมนุษย์ไปสู่การทำตามความอยากปรารถนาและตัณหาต่าง ๆ" ( ดู มุฮัมมัด สะอีด ร่อมะฎอน อัลบูฏีย์, อัลฮิกัม อัลอะฏออียะฮ์ ชัรห์วะตะห์ลีล, เล่ม 2, หน้า 68.)

การให้คำนิยามดังกล่าวนี้มีที่มาจากคำตรัสของอัลเลาะฮ์ตะอาลา ที่พระองค์ทรงถ่ายทอดคำพูดของนะบีย์ยูซุฟ อะลัยฮิสลาม ไว้ความว่า

إِنَّ النَّفْسَ لَأَمَّارَةٌ بِالسُّوءِ إِلَّا مَا رَحِمَ رَبِّي إِنَّ رَبِّي غَفُورٌ رَحِيمٌ

“แท้จริง  นัฟซูนั้นจะบงการให้กระทำความชั่ว  นอกจากผู้ที่พระผู้อภิบาลของฉันทรงเมตตา  แท้จริงผู้อภิบาลของฉันทรงอภัยโทษยิ่ง  อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง”  [ยูซุฟ: 53]

ดังนั้นอัลเลาะฮ์จึงทรงตรัสว่า

فَلاَ تَتَّبِعُواْ الْهَوَى

“ดังนั้นพวกท่านอย่าตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ” [อันนิซาอฺ: 135]

ดังนั้นนัฟซูจึงเป็นศรัตรูที่น่ากลัวยิ่งกว่าชัยฏอน  เพราะนัฟซูเป็นศัตรูในบ้าน  เป็นศัตรูที่อยู่ในตัวของท่าน  เพราะฉะนั้นหากไม่ควบคุมและล่ามมันเอาไว้  มันก็จะเล่นงานท่านได้ตลอดเวลา

ดังนั้นหากท่านตั้งคำถามว่า  เราจะควบคุมและล่ามนัฟซูหรืออารมณ์ใฝ่ต่ำได้อย่างไร?  คำตอบก็คือ  ท่านอิมามอัลฆ่อซาลีย์  ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  ได้ตอบไว้ว่า  “บรรดาปราชญ์ของเรา  ได้กล่าวว่า  สามประการที่จะทำให้อารมณ์ใฝ่ต่ำ (นัฟซู) ยอมสยบ (ซึ่ง 3 ประการนี้สามารถที่จะกระทำอย่างได้ผลเป็นพิเศษในเดือนร่อมะฎอน) คือ:

1. ยับยั้งจิตใจจากสิ่งที่อารมณ์ใฝ่ต่ำชื่นชอบ ( เช่น ชอบกระทำสิ่งที่ไร้สาระ  ชอบดื่มและรับประทานจนเกินเลยขอบเขต ซึ่งสิ่งนี้ทำให้นัฟซูเข้ามามีอิทธิพลครอบงำเราได้  เช่น ทำให้เกียจคร้านในการทำอิบาดะฮ์  ในเดือนร่อมะฎอน เป็นต้น)  เพราะสัตว์ที่พยศนั้นมันจะอ่อนแอเมื่อหญ้าที่ใช้เป็นอาหารสำหรับมันได้ถูกลดปริมาณให้น้อยลง (ซึ่งเป็นบรรยากาศที่สอดคล้องกับเดือนร่อมะฎอน  ที่เราพยายามลดอาหาร  ลดเครื่องดื่ม  ลดทุกสิ่งทุกอย่างที่อารมณ์ใฝ่ต่ำชื่นชอบ  แต่บางทีคนเรากระทำตรงกันข้ามกัน  คือเวลาละศีลอด ก็จะรับประทานกันจนอิ่มมากเกินไป  เพื่อชดเชยความหิวความกระหายที่ได้เคยอดไปตอนกลางวัน  พอเวลาไปละหมาดตะรอวิห์  ก็ทำกันไม่ค่อยไหว  เมื่อละหมาดเสร็จ  ก็กินกันอีกรอบ  จะอ่านอัลกุรอานทำอิบาดะฮ์ในตอนกลางคืน  ก็ไม่ค่อยมีประสิทธิ์ภาพ  เพราะเมื่ออิ่มมากๆ ก็จะทำให้เน้นพักผ่อนด้วยการนอนกันเป็นส่วนใหญ่  ซึ่งดังกล่าวนี้  เป็นสภาวะที่กำลังถูกครอบงำจากนัฟซูนั่นเอง  ดังนั้นเราจึงไม่ต้องไปโทษชัยฏอน  แต่ให้โทษตัวเราเองนี่แหละ  ที่ยอมให้ตกอยู่ภายใต้อาณัติของนัฟซู)

2. ให้อารมณ์ใฝ่ต่ำแบกรับความหนักอึ้งของการปฏิบัติอะมัลอิบาดะฮ์ให้มากๆ เพราะ (สัตว์ที่มีชื่อว่า) ลานั้น  เมื่อได้แบกรับน้ำหนักของสัมภาระบนหลังเพิ่มขึ้น  พร้อมกับลดปริมาณของหญ้า  มันก็จะยิ่งยอมสยบและน้อมตาม (นัฟซูหรืออารมณ์ใฝ่ต่ำก็เช่นเดียวกัน)  หากเราพยายามลดและระงับจิตใจจากสิ่งที่อารมณ์ใฝ่ต่ำชื่นชอบ  และพยายามเพิ่มการปฏิบัติอะมัลอิบาดะฮ์ให้มาก ๆ ด้วยทำอิบาดะฮ์ฟัรดูให้ครบถ้วนสมบูรณ์  และเสริมการปฏิบัติอิบาดะฮ์ที่เป็นสุนัตอย่างสม่ำเสมอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งละหมาดตะรอวิห์  เพราะธรรมชาติของนัฟซูนั้นไม่ชอบอิบาดะฮ์  เมื่อเรายิ่งทำอิบาดะฮ์  นัฟซูก็จะยิ่งต่อต้าน  เมื่อเราละหมาดตะรอวิห์กันหลาย ๆ ร็อกอะฮ์  นัฟซูก็ยิ่งต่อต้านและแสดงปฏิกิริยาทำให้เราเกียจคร้าน  ดังนั้นเมื่อละหมาดตะรอวิห์แล้วมีความรู้สึกเกียจคร้าน  เราก็จงฝืนและต่อสู้พิชิต (มุญาฮะดะฮ์) นัฟซูให้ได้  พยายามให้นัฟซูแบกรับอิบาดะฮ์ให้เยอะๆ  เพื่อนัฟซูจะได้น้อมตามเรา

3. (ซึ่งเป็นข้อที่สำคัญที่สุด ก็คือ) ขอความช่วยเหลือจากอัลเลาะฮ์ตะอาลาและวิงวอนต่อพระองค์  ให้พระองค์ช่วยเหลือท่าน  ดังนั้นถ้าหากไม่ขอความช่วยเหลือจากอัลเลาะฮ์  แน่นอนท่านก็จะไม่สามารถรอดพ้นจากอารมณ์ใฝ่ต่ำได้ (เพราะแก่นแท้มนุษย์มีความอ่อนแอในทุกสภาวะการณ์)

ดังนั้นถ้าหากท่านหมั่นเพียรกระทำ 3 ประการนี้อย่างสม่ำเสมอ  แน่นอนว่านัฟซูที่ชอบพยศนั้น  มันก็จะน้อมตามท่านด้วยความประสงค์ของอัลเลาะฮ์ตะอาลา” อัลฆ่อซาลีย์, มินฮาจญุลอาบิดีน. เล่ม 1 หน้า 330.

บทสรุปคือ  ท่านจงยับยั้งชั่งใจและระงับจิตใจจากการฝ่าฝืนต่ออัลเลาะฮ์  พร้อมกับปฏิบัติอะมัลอิบาดะฮ์ต่าง ๆ ให้มาก ๆ ด้วยการปฏิบัติอิบาดะฮ์ที่เป็นฟัรดูและสุนัต  ทำการอ่านอัลกุรอาน ซิกรุลลอฮ์  ถือศีลอด  เป็นต้น  แล้วนัฟซูก็จะอ่อนแรงลงไป  หลังจากนั้นท่านก็จงขอความช่วยเหลือจากอัลเลาะฮ์ตะอาลา  ให้พ้นจากการครอบงำของอารมณ์ใฝ่ต่ำและขอความช่วยเหลือจากอัลเลาะฮ์ตะอาลาให้มีความเข้มแข็งในการปฏิบัติอะมัลอิบาดะฮ์ต่อพระองค์ 

แสดงความคิดเห็น

ติดตามได้ทาง