Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: nada-yoru Date: มี.ค. 15, 2010, 10:00 PM
salam
วันนี้ได้พูดคุยกับบุคคลกรคนใหม่ของฝ่ายธุรการของมหาลัย
ที่ช่วยเดินเรื่องเอกสารให้ จับใจความมาได้โดยประมาณว่่า
เธอบอกกับข้าน้อยว่าเธอสนใจอิสลามมากและดีใจที่ได้พูดคุยกับข้าน้อย
พร้อมกับบอกว่า อิสลามเป็นศาสนาที่มีความเป็นเอกลักษณ์
และจากนี้ไป จะเป็นยุคของอิสลาม กับ จีน
มิใช่ยุคของอเมริกาอีกต่อไปแล้ว ยุคของอเมริกากำลังจะอวสานในอีกไม่ช้านี้
ตอนได้ยินก็ตกใจค่ะ เพราะว่านานๆจะเจอคนญี่ปุ่นพูดอะไรทำนองนี้
แบบว่า ไม่อมพะนำเอาไว้เลย อยากพูดก็พูดมันออกมา
เพราะสังเกตจากแววตาของเธอบอกว่่าเธอคิดอย่างนั้นจริงๆ
และเธอยังบอกว่า เธอไม่ชอบจีน ด้วยเหตุผลหลายๆอย่่าง
และเธอสนใจอิสลามมานานแล้ว อยากรู้อยากศึกษา
และยังบอกว่าอยากไปทำงานแถบอาหรับเพราะอยากได้ภาษาอาหรับ
อยากเรียนรู้ชีวิตของมุสลิมจริงๆด้วยน่ะค่ะ...อัลฮัมดุลิลลาฮฺ
นี่ก็อีกคำพูดนึงค่ะที่ทำเอาข้าน้อยประหลาดใจ เพราะว่าอยู่ญี่ปุ่นมานาน
ยังไม่เคยได้ฟังคำพูดแบบนี้ออกจากปากคนญี่ปุ่นอย่างฉะฉานเลย...
ขออัลลอฮฺทรงชี้นำทางแก่เธอด้วยเถิด...
และที่ข้าน้อยนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง
เพราะรู้สึกเช่นเดียวกับเธอคนนี้ว่า...
...อีกไม่นาน...อิสลามจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง....

วัสลามค่ะ
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: as-satuly Date: มี.ค. 16, 2010, 08:37 PM
...
ขออัลลอฮฺทรงชี้นำทางแก่เธอด้วยเถิด
...
ตอบขานรับดุอาอ์...อามีน ยาร็อบบัลอาละมีน - วัสสลามุอะลัยกุม
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: as-satuly Date: มี.ค. 16, 2010, 08:44 PM
salam
ขอเล่าเรื่องมั้ง คือวันนี้ มีเรื่องอยู่ว่า จากอารมณ์ของผมเมื่อหลายวันที่ผ่านมา ที่เคยมีอาการอย่างนี้ เช่น

แต่ด้วยเหตุว่า ตอนนี้ ผมเพิ่งเริ่มเปลี่ยนอารมณ์ของตัวเองใหม่อีก เช่น
ด้วยสิ่งที่กล่าวมานั้น เป็นเพราะว่า ผมเพิ่งสอบเสร็จปลายภาครายวิชาสุดท้ายในช่วงตอนบ่ายของวันนี้ ทำให้รู้สึกโล่งและเบาบางลงมากในสมองของผม
ดังนั้้น ก็จะได้ทำอะไรต่อมิอะไรมากมายอีกล่ะทีนี้ แต่ไม่ใช่จะละทิ้งวิชาความรู้ที่ผ่าน ๆ มาน่ะ งั้นขอเล่าแค่นี้ก่อนแหละ...วัสสลามุอะลัยกุม
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: nada-yoru Date: มี.ค. 17, 2010, 12:24 AM
ยินดีด้วยค่ะที่สอบเสร็จแล้ว

พี่เองก็กำลังจัดการอพยพ ย้ายที่ เอาอะไรไปไม่ได้มากนัก
รู้สึกเสียใจที่ต้องทิ้งหลายๆอย่่างเอาไว้โดยที่ไม่สามารถเอามันไปด้วยได้
ทั้งคนทั้งสิ่งของ...

ที่ญี่ปุ่นนั้นเวลาจะทิ้งของ ต้องเสียเงินด้วยค่ะ
ของที่ต้องเสียเงินตอนทิ้ง เช่น โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า และพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า
พวกของใหญ่ๆ เพราะจะยกให้ใครก็ไม่มีใครเอา

เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้ว และบ้านของคนญี่ปุ่นก็มิได้กว้างขวางพอ
จะรับของใหญ่จากเราได้สุดท้ายก็เลยต้องตัดใจทิ้งไป...
ให้รถมาเอา...
พอคุยกับพ่อ พ่อก็บอกว่า ไม่ต้องขนอะไรกลับมาให้หนักและเปลืองเงินทองเปล่าๆ
กลับบ้านแบบตัวเปล่าๆมาเล้ย ก็เลยแย้งพ่อไปว่า
มันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะของบางอย่างมันไม่สามารถหามาใหม่ได้
มันก็เลยต้องแบกกลับไปด้วย 55555
พอบอกพ่อว่าจะเอาหม้อข้าวอันน้อยที่ใช้หุงข้าวกินมาตลอดตอนอยู่ญี่ปุ่น
กลับไปบ้านด้วย พ่อก็หัวเราะ บอกว่าจะเอาหม้อข้าวมาทำไม
ที่บ้านก็มีแล้ว 5555 เลยอธิบายไปว่า มันเป็นความผูกพันที่ตัดกันไม่ขาด
แม้รู้ทั้งรู้ว่าต่อให้เอาไปแล้วไม่สามารถใช้ที่ไทยได้
เนื่องจากระบบไฟฟ้าต่่างกัน(ความต่างศักย์ไม่เหมือนกัน)
แต่ก็อยากเอาไปงิ เฮ้อ... นี่ก็ไม่แน่ใจว่าจะยัดใส่กล่องไปได้มั้ยงิ
หากยัดไม่ได้ จะแบกขึ้นเครื่องเลยงิ ไม่อายใครแว้ววววววว... 5555
ตอนเล่าให้พ่อฟัง พ่อหัวเราะลั่น แต่ก็ตั้งใจจะเอากลับไปจริงๆแหล่ะค่ะ
เพราะมันเป็นหม้อข้าวใบแรกในชีวิตที่ซื้อเองและใช้มันมาตลอด
ทั้งขัดฉีฉวีวันเหมือนตอนกับพี่ชายขัดรถมอเตอร์ไซด์ ฉันใดก็ฉันนั้นแหล่ะค่ะ เหอๆๆๆ
สงสารมัน หากจะต้องทิ้งมันให้อยู่กลายเป็นขยะในแดนปลาดิบ อิอิ
จบไปหนึ่งสำหรับเรื่องหม้อข้าว

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกก็คือ...ของพวกนี้เป็นของนอกกาย
บางอย่างท่ีเราอยากเอาไป ก็ไม่สามารถเอาไปได้
อุตส่าห์สร้างสมไปก็เท่านั้นค่ะ เพราะสุดท้ายตอนจะจากไป
ก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง
แม้เราจะรักจะหวงยังไง เมื่อถึงเวลา เราก็ต้องทิ้งมันไป...

หากทำใจ ตัดใจได้ คงไม่เสียใจเท่าไหร่ค่ะ ฮื้อๆๆๆๆๆๆ
พ่อบอกว่่า...นั่นแหล่ะคือเหตุผลที่พ่ออยากให้ลูกๆมีความรู้
เพราะไม่ว่าจะไปอยู่ท่ีไหน มันจะไปด้วย เป็นสมบัติที่ไม่ต้องแบกให้เหนื่อย
และไม่หนัก แต่กว่าจะได้มานั้นยากเย็น และคุ้มค่าเสมอ...
พ่อคือคนที่สร้างบ้านให้คนอื่นๆได้สำเร็จและสวยงามเสมอ
แต่บ้านของตัวเองพ่อกลับสร้างไม่เคยเสร็จเหมือนกับที่สร้างให้คนอื่นๆ
เมื่อก่อนเคยสงสัยว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
แต่พอผ่านพบเจอกับอะไรๆในชีวิตจึงเข้าใจว่า...
เพราะพ่อมีสิ่งที่พ่ออยากสร้างอยากออกแบบมันมากกว่าบ้าน
และอยากให้มันดูดีกว่าบ้าน...อยากเห็นมันสำเร็จกว่าการสร้างบ้านของตัวเอง...
เพราะการกระทำของผู้นำของบ้านฟ้องออกมาอย่างนั้น

และจะไม่เสียใจเลย หากพ่อจะสร้างบ้านหลังที่เราอยู่กันไม่เสร็จค่ะ...
และก็จะไม่คิดด้วยว่า พ่อเราไม่มีความสามารถพอจะสร้างบ้านของตัวเอง
ให้เสร็จได้ เพราะว่า....สิ่งที่พ่อสร้างให้เรามันยิ่งใหญ่กว่าบ้าน

เลยรู้สึกว่า...คนที่จะเป็นผู้นำที่เป็นที่รักของสมาชิกหรือผู้ตามได้นั้น...
ส่วนใหญ่แล้ว...มักจะนึกถึงตัวเองหลังสุด...

ปล.ข้าน้อยไม่รู้ว่่า หากเราตาย ความรู้มันจะตามเราไปด้วยมั้ย
แต่ที่รู้ๆ ดีกับชั่ว ตามไปด้วยอย่างมิต้องสงสัยเลย...
นี่มันถึงเวลาที่เราต้องตัดใจทิ้งสิ่งที่อยู่กันมาอย่างโทรทัศน์ เครื่องซักผ้า
ที่นอน หมอน มุ้ง ฯลฯ แล้วใช่ไหม
เฮ้อ...ตัดใจไม่ไหว ทิ้งหม้อข้าวไม่ลงค่ะ
55555555
วัสลามค่ะ...
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: ฮุ้นปวยเอี๊ยง Date: มี.ค. 17, 2010, 08:49 AM
salam
เมื่อไหร่ที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศเรามีการพัฒนาเท่าทันป.ญี่ปุ่นน่ะ...
พี่โด่โด่ค่อยเสียบปลั๊กหม้อย้อนวันวานละกันน้อ...เวลานั้นคงอาวุโสน่าดู

นี่ก้อได้รับปริญญากันไปแล้ว...หากจะแบ่งปันบรรยากาศอันน่าประทับใจให้แก่กันบ้าง คงจะดีไม่น้อย 
เช่น บรรยากาศการถ่ายโดยรวมของเหล่าบัณฑิตหลังรับปริญญาเอย...อยากดูมากๆเลยนิ...
ที่วิทยาลัยจะมีการรับปริญญาบัตรและประกาศนียบัตรของพี่ๆที่จบปีการศึกษา 2552 พุ่งนี้นิ เล่นเอาน้องๆเหนื่อยแทบแย่
ต้องมาดีไซด์ซุ้มถ่ายรูปกัน...
หากบรรยากาศงานพรุ่งนี้สร้างสรรค์พอ แล้วจะเอารูปบรรยากาศในงานโดยรวมมาฝากจร้า... 
ครูผมเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่สมัยครูเรียนประถม 20-30 ปีที่แล้ว ครูในห้องบอกว่า "ประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา"
ปัจจุบันก็ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา และต่อไปก็เป็นประเทศกำลังพัฒนา ตอนนี้เวียดนามแซงไทยไปแล้ว และคาดว่า พม่า ลาว กัมพูชา ไม่ช้า
ยิ่งเรื่องการศึกษาในประเทศไทยยังลองผิดลองมากๆเปลี่ยนหลักสูตรเปลี่ยนหนังสือบ่อยไม่รู้จะเกี่ยวกับผลประโยชน์หรือปล่าว
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: มัยซูน Date: มี.ค. 17, 2010, 09:10 AM
salam
วันนี้ได้พูดคุยกับบุคคลกรคนใหม่ของฝ่ายธุรการของมหาลัย
ที่ช่วยเดินเรื่องเอกสารให้ จับใจความมาได้โดยประมาณว่่า
เธอบอกกับข้าน้อยว่าเธอสนใจอิสลามมากและดีใจที่ได้พูดคุยกับข้าน้อย
พร้อมกับบอกว่า อิสลามเป็นศาสนาที่มีความเป็นเอกลักษณ์
และจากนี้ไป จะเป็นยุคของอิสลาม กับ จีน
มิใช่ยุคของอเมริกาอีกต่อไปแล้ว ยุคของอเมริกากำลังจะอวสานในอีกไม่ช้านี้
ตอนได้ยินก็ตกใจค่ะ เพราะว่านานๆจะเจอคนญี่ปุ่นพูดอะไรทำนองนี้
แบบว่า ไม่อมพะนำเอาไว้เลย อยากพูดก็พูดมันออกมา
เพราะสังเกตจากแววตาของเธอบอกว่่าเธอคิดอย่างนั้นจริงๆ
และเธอยังบอกว่า เธอไม่ชอบจีน ด้วยเหตุผลหลายๆอย่่าง
และเธอสนใจอิสลามมานานแล้ว อยากรู้อยากศึกษา
และยังบอกว่าอยากไปทำงานแถบอาหรับเพราะอยากได้ภาษาอาหรับ
อยากเรียนรู้ชีวิตของมุสลิมจริงๆด้วยน่ะค่ะ...อัลฮัมดุลิลลาฮฺ
นี่ก็อีกคำพูดนึงค่ะที่ทำเอาข้าน้อยประหลาดใจ เพราะว่าอยู่ญี่ปุ่นมานาน
ยังไม่เคยได้ฟังคำพูดแบบนี้ออกจากปากคนญี่ปุ่นอย่างฉะฉานเลย...
ขออัลลอฮฺทรงชี้นำทางแก่เธอด้วยเถิด...
และที่ข้าน้อยนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง
เพราะรู้สึกเช่นเดียวกับเธอคนนี้ว่า...
...อีกไม่นาน...อิสลามจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง....

วัสลามค่ะ
มัยซูนก็มีประสบการณ์แบบนี้เหมือนกันค่ะ
มีอาจารย์ที่เคยสอนท่านหนึ่ง ได้ไปศึกษาต่อที่เยอรมัน แล้วได้แต่งงานกับคนเยอรมัน ตอนหลังกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย แฟนอาจารย์พูดภาษาไทยได้ชัดมากและได้เข้ามาทำงานที่เดียวกับมัยซูน วันหนึ่งเราได้คุยกันในเรื่องของศาสนา เพราะท่านเห็นมัยซูนคลุมฮิญาบ ท่านเป็นคริสต์แล้วเปลี่ยนมาเป็นพุทธตามแฟน
ส่วนหนึ่งของการคุยท่านบอกว่า ถ้าศาสนาในโลกนี้จะเสื่อมสลาย ศาสนาอิสลามจะเป็นศาสนาสุดท้ายที่ยังคงอยู่ ฟังแล้วปลื้มมาก เลยฉวยโอกาสแนะนำอีกหลายๆเรื่องที่ท่านอยากรู้เสียเลย
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: nada-yoru Date: มี.ค. 17, 2010, 10:15 AM
มัยซูนก็มีประสบการณ์แบบนี้เหมือนกันค่ะ
มีอาจารย์ที่เคยสอนท่านหนึ่ง ได้ไปศึกษาต่อที่เยอรมัน แล้วได้แต่งงานกับคนเยอรมัน ตอนหลังกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย แฟนอาจารย์พูดภาษาไทยได้ชัดมากและได้เข้ามาทำงานที่เดียวกับมัยซูน วันหนึ่งเราได้คุยกันในเรื่องของศาสนา เพราะท่านเห็นมัยซูนคลุมฮิญาบ ท่านเป็นคริสต์แล้วเปลี่ยนมาเป็นพุทธตามแฟน
ส่วนหนึ่งของการคุยท่านบอกว่า
ถ้าศาสนาในโลกนี้จะเสื่อมสลาย ศาสนาอิสลามจะเป็นศาสนาสุดท้ายที่ยังคงอยู่
ฟังแล้วปลื้มมาก เลยฉวยโอกาสแนะนำอีกหลายๆเรื่องที่ท่านอยากรู้เสียเลย
ตอนได้คุยกับเพื่อนที่กำลังศึกษาอิสลาม เพราะอยากจะเข้ารับอิสลาม
เขาบอกว่า ความรักที่เขามีต่อคนรัก มิใช่สาเหตุที่ทำให้เขาอยากเข้ารับอิสลาม
แต่เขารุ้สึกว่า อิสลามทำให้เขารู้สึกปลอดภัยจากสิ่งที่เคยกังวลมาตลอด
และเขาบอกว่า เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมุสลิมถึงพยายามเผยแพร่คำสอน
ของศาสนาให้เพื่อนผองฟังราวกับจะชักจูงให้เข้าอิสลาม...
เพราะเมื่อเขาศึกษาอิสลาม เขาก็กังวลว่าบิดามารดาที่เขารักจะตกนรก
เขาอยากให้บิดามารดาศรัทธาในอิสลาม ศรัทธาในอัลลอฮฺ...
เขาบอกว่า กว่าเขาจะได้ศาสนาอิสลามมานั้น เขาผ่านบางสิ่งบางอย่างมา
อย่างหนักหนา แล้วเหมือนแสงสว่างลงมาทำให้เขารู้สึกอบอุ่น อยากอยู่ไปตลอด...
นั่นคือ...ศาสนาอิสลาม อัลฮัมดุลิลลาฮฺค่ะ...
ทางนำนั้นกว่่าจะได้มานั้นไม่ง่่ายเลยจริงๆค่ะ...ข้าน้อยที่เป็นมุสลิมมาแต่กำเนิดเอง
ก็เจอบททดสอบอันแสนทรหดไม่ต่างกับเพื่อนคนนี้เลย...
เพื่อนต่างศาสนิกหลายคนสนใจอิสลามค่ะ...
แต่บางคนถามว่า...ถ้าเขาจะไม่ยึดติดกับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
แต่ว่าเอาสิ่งดีๆของแต่ละศาสนามาปฏิบัติ มันจะไม่ดีกว่าหรือ...
ข้าน้อยก็เลยตอบไปว่า อิสลามก็ไม่ได้สอนให้ข้าน้อยยึดติด แต่ให้เรายึดมั่นในพระเจ้าองค์เดียว
และเดินตามรอยทางของท่านนบีมุฮัมหมัด ทุกอย่างที่เป็นอิสลามมันดีอยู่แล้วสำหรับข้าน้อย
สิ่งดีๆในโลกนี้สำหรับข้าน้อย อยู่ในอิสลามแล้ว...
และที่เพืื่อนบอกว่าสิ่งนั้นดีสิ่งโน้นดีนั้น
สำหรับฉันที่ศรัทธาในอิสลามนั้น มันอาจจะไม่ได้ดีในสายตามนุษย์ทุกคนเสมอไป
แต่ที่เราทำ เราทำเพื่อความพึงพอใจของพระเจ้า...
เพราะว่าดีในสายตามนุษย์แต่ละคนมันไม่เหมือนกัน...
แต่คัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นคำสอนของศาสนาอิสลามนั้น มาจากพระเจ้า
ไม่ใช่มาจากมนุษย์...
ตอนนั้นได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันเยอะค่ะ เพื่อนคนนี้เองค่อนข้างมีไหวพริบ
เขาก็เลยคิดว่า ข้าน้อยกำลังชักจูงเขาให้เข้าอิสลามอยู่หรือเปล่า
มุสลิมเป็นอย่างนี้ตลอด ขนาดแต่งงานก็ยังต้องลากให้คนอ่ืนเข้าศาสนาตัวเองด้วย
ไม่งั้นไม่แต่ง...มันไม่เห็นยุติธรรมเลย อันที่จริง เรื่องศรัทธาไม่เห็นเป็นไร
ใครศรัทธาอะไรก็น่าจะแต่งงานกันได้...
ตอนได้ฟังเขาพูดตรงๆอย่างนี้ข้าน้อยก็ยิ้มค่ะ
เพราะว่า เขายังไม่รุ้ว่าทำไมเราถึงต้องทำอย่างนั้น ก็เลยอธิบายกันยาวเลยค่ะ
กว่่าเขาจะเลิกคิดว่่า เรานั้นเห็นแก่ตัว...ไม่นึกถึงความรักที่อีกคนมีให้เลย...
เขาก็เลยทบท้ายว่า...หากมุสลิมทำอย่างนี้กันทุกคน อิสลามคงครองโลกในสักวัน...
เพราะตนนั้นไม่ยอมเปลี่ยน และพยายามให้คนอื่นเปลี่ยนมาเป็นมุสลิม...
ข้าน้อยเลยรู้สึกว่า...ทางนำนั้นเป็นของอัลลอฮฺตาอาลา
หากพระองค์ประสงค์แก่ผู้ใด เขาก็จะได้ทางนำนั้น...อินชาอัลลอฮฺ
เพราะบางคน แม้เขาจะค่อนข้างเข้าใจอิสลามแล้ว
แต่เขาก็ยังไม่ศรัทธาในอัลลอฮฺตาอาลา เขาก็ยังเลือกจะทำในสิ่งที่เขาเห็นว่าดี
สำหรับชีวิตเขาอยู่ดี...
...วัลลอฮุอะลัม...
คนที่บอกเราว่าไม่มีศาสนา อาจมิใช่คนไม่น่าคบ แต่เราจะพบว่าเขาก็เลือกจะทำ
อย่่างเราในบางเรื่อง และไม่ทำในบางเรื่องที่เขาเห็นว่าไม่ดีสำหรับความคิดเขา
หรือเขาหาเหตุผลมารองรับมันไม่ได้ เขาก็ไม่ทำมัน
ข้าน้อยเลยบอกเขาว่า เหตุผลมันไม่สำคัญมากมาย หากเชื่อมั่นและศรัทธา
เราก็จะสบาย ไม่เหนื่อยกับการหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้าเพื่อจะเลือกศรัทธา..
และอิสลามมีทั้งหลักศรัทธาและหลักปฏิบัติ ซึ่งมันจะเดินไปด้วยกันตลอดทาง...
วัสลามค่ะ
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: nada-yoru Date: มี.ค. 17, 2010, 11:42 PM
salam
เมื่อไหร่ที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศเรามีการพัฒนาเท่าทันป.ญี่ปุ่นน่ะ...
พี่โด่โด่ค่อยเสียบปลั๊กหม้อย้อนวันวานละกันน้อ...
เวลานั้นคงอาวุโสน่าดู

นี่ก้อได้รับปริญญากันไปแล้ว...
หากจะแบ่งปันบรรยากาศอันน่าประทับใจให้แก่กันบ้าง คงจะดีไม่น้อย 
เช่น บรรยากาศการถ่ายโดยรวมของเหล่าบัณฑิตหลังรับปริญญาเอย...
อยากดูมากๆเลยนิ...
ที่วิทยาลัยจะมีการรับปริญญาบัตรและประกาศนียบัตรของพี่ๆ
ที่จบปีการศึกษา 2552 พุ่งนี้นิ เล่นเอาน้องๆเหนื่อยแทบแย่
ต้องมาดีไซด์ซุ้มถ่ายรูปกัน...
หากบรรยากาศงานพรุ่งนี้สร้างสรรค์พอ
แล้วจะเอารูปบรรยากาศในงานโดยรวมมาฝากจร้า... 
อินชาอัลลอฮฺ พี่ก็อยากเห็นภาพบรรยากาศของงานที่วิทยาลัยน้องอันนูร
เหมือนกันค่ะ...
ส่วนของพี่ ความจริงแล้ว พิธีการจะมีขึ้นในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ค่ะ
วันก่อนนั้นไปลองชุดมาเท่านั้นเองค่ะ เพราะว่าอยากรู้วิธีใส่
จะได้กลับไปแต่งได้ที่บ้านเกิดอ่ะค่ะ...
เนื่องจากว่าทางมหาลัยประกาศผลออกมาว่าใครจะจบในปีการศึกษานี้บ้าง
ก็เลยมั่นใจ คือ จบแล้วน่ะค่ะ เพียงแต่พิธีการยังมาไม่ถึง...

รอด้วยความตื่นเต้น ดีใจ พอๆกับรู้สึกใจหายเหมือนกันค่ะ...
อารมณ์มันผสมปนเปกันมั่วไปหมดเลยงิน้องอันนูรเหออออ...
หากไม่ยุ่งจนหัวฟู และปลีกเวลาเข้าบอร์ดได้สะดวกอย่างเคย
คงจะเอาภาพบรรยากาศวันรับปริญญามาให้ดูด้วยคนค่ะ...
แต่ว่า... พี่ไม่แน่ใจอะไรสักเท่าไหร่สำหรับเรื่องของอนาคตต่อจากนี้
เลยไม่อยากสัญญาน่ะค่ะ เพราะกลัวว่าอาจจะทำไม่ได้

ปล.เพืื่อนๆคนไทยที่อยู่ต่างมหาลัยก็จะเริ่มทะยอยกันรับปริญญา
มีทุกวันค่ะ แถมเรียงกันด้วยงิ เพื่อนที่โอซาก้ารับวันที่ 19
เพื่อนที่นารา วันที่20 เพื่อนที่โกเบ วันที่ 21
และของพี่เองวันที่22 (หลังสุด)
อย่างยุ่งเลยงิ เหอๆๆๆ
สงสัยคงได้เดินเวียนกันค่ะ...และคงเป็นการอำลาไปในตัวด้วย
เพราะจากนี้ไป ทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง...
ตามทางฝัน ตามจุดหมายปลายทางของตัวเอง...

มันจึงเป็นความยินดีที่แฝงด้วยการจากลา...
ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว...พี่เองก็อยากทำให้เต็มที่ที่สุด
เพราะว่า บางที เพื่อนบางคน เราอาจจะไม่สามารถเดินทาง
มาพบเจอกันได้อีกก็เป็นได้...
ขอให้ทุกคนที่อ่าน...จงรักษามิตรภาพที่เกิดขึ้นและที่มีอยู่ให้ดีที่สุดนะคะ
เพราะเมื่อจากกันไปแล้ว เราจะได้มีภาพดีๆให้ได้จดจำไว้
ในห้วงความทรงจำ...เพราะการจะมีเพื่อนดีๆผ่านเข้ามาในชีวิตนั้น
มิใช่เรื่องง่ายๆเลย และการจะรักษามันย่อมยากพอๆกับการจะยื้อมันเอาไว้
กับเราตลอดไป...แต่ไม่ว่าจะไปอยู่ท่ีไหน มิตรภาพดีๆที่เคยให้กัน
มันจะยังคงอยู่ในใจค่ะ...

อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...รู้สึกว่าตัวเองนั้นโชคดี ที่มีเพื่อนและคนรู้จักที่ดีๆ
ทำให้ผ่านคืนวันดีๆมาด้วยกัน...เพราะเมื่อมองกลับไปบนทางที่เคยเดินผ่านมา
แม้จะมีขวากหนามมากมาย แต่มันก็มีกลีบกุหลาบโปรยลงมาไม่ขาดสาย
ความสวยงามของมิตรภาพกับขวากหนามแห่งความทุกข์ยาก
มักมาพร้อมๆกัน...

...รักกันให้มากๆนะคะ...

วัสลามค่ะ
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: hilmee Date: มี.ค. 19, 2010, 12:28 AM
salam all,who knws abt al-azhar university?plz tell me abt tht
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: ILHAM Date: มี.ค. 19, 2010, 12:34 AM
salam all,who knws abt al-azhar university?plz tell me abt tht
เปิดเว็บดู
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: Bangmud Date: มี.ค. 19, 2010, 10:41 AM
salam
salam all,who knws abt al-azhar university?plz tell me abt tht
ลองดูในเวปภาษาไทยก็ได้
http://www.miftahcairo.com/index2.phphttp://www.dek-d.com/content/studyabroad/9252/Al-Azhar-University-Egypt.phphttp://www.mfa.go.th/internet/document/4699.pdf
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: ILHAM Date: มี.ค. 20, 2010, 01:31 AM
วันพฤหัสนี้ ใครว่าง ขอเชิญร่วมงานเมาลิดบ้านย่าผม
เวลา مشتري
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: AUZULODEEN Date: มี.ค. 20, 2010, 09:46 AM
salam
อาทิตย์ที่แล้ที่บ้านเพิ่งทำเมาลิด
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: ILHAM Date: มี.ค. 20, 2010, 12:44 PM
ฝากผลักมานาตกทะเลด้วย 555
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: มาลิกกุ๊กกิ๊ก Date: มี.ค. 20, 2010, 01:16 PM
สั่งของออนไลน์ไปอ่ะ แต่ยังไม่ได้เลย โทรเคลียกะนอยู่ เซ็งๆๆๆๆๆ