Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: ILHAM Date: เม.ย. 01, 2010, 11:11 PM
ใส่ของ3ปีที่แล้วสิ แล้วไปกลางวงนปช. 555
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: คนเดินดิน Date: เม.ย. 05, 2010, 12:39 PM
ขอขอบคุณผู้หวังดีทุกท่าน
คือว่าหนูสอบบรรจุข้าราชการครู ที่เขต 2 ปัตตานีได้แล้วค่ะ
ตอนนี้รอเรียกตามลำดับอยู่ค่ะ (แอบลุ้นอยู่ดัง ๆ เหมือนกัน)
ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ให้เข้าใจจักประจักษ์แจ้งในสิ่งที่ฉันกล่าว
วัลลอฮูอะอ์ลัม
วัสสลาม
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: Al Fatoni Date: เม.ย. 07, 2010, 03:38 PM
ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย เซ็งจัง ยา อัลลอฮฺขอให้มันราบรื่นและให้ได้รับความเข้าใจด้วยเถิด แท้จริงพระองค์ทรงรอบรู้ยิ่งถึงสิ่งที่อยู่ในใจของผม อามีน ยา ร็อบบัลอาละมีน - วัสสลาม
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: JawhaR Date: เม.ย. 07, 2010, 03:41 PM
salam
แสดงความยินดีกับ คุณ คนเดินดินด้วยนะครับ

Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: aku malayu Date: เม.ย. 07, 2010, 08:39 PM
มีบางคนในนี้เป็นเสื้อแดง บางคนเห็นด้วยกับเสื้อเหลือง แล้วคุณคิดยังไงกับคนกลุ่มนี้ที่ตั้งแต่เกิดจนแก่..เขาอยู่ใกล้ชิดกับความตาย
เขามีความชอบธรรมมากกว่าสีใหนๆ ทำไมต้องลบ"เขา"ด้วย..อย่ากลัว(จงกลัวอัลลอฮ) จงหวัง..หวังความสันติสุขแด่ทุกๆคน
KERANAMU MALAYU
เ พ ร า ะ คุ ณ คือ ม ล า ยู
Because U R Malayu
เมื่อเอ่ยถึงชาติพันธุ์มลายู คำนี้สามารถสร้างความสั่นสะเทือนต่อความรู้สึกของผู้ปกครองสยาม และประเทศไทยได้ตลอด จากอดีตกว่า200ปีที่รัฐอิสระปาตานีดารุสสลามได้ถูกครอบครองแบบเบ็ดเสร็จจากสยามประเทศ และหลังจากที่ปาตานี ถูกเปลี่ยนสภาพมาเป็น 1 ใน 76 จังหวัดของสยามประเทศ ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น...ประเทศไทย การปกครองแผ่นดินปาตานีก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น บางครั้งบางช่วงกลับเลวร้ายลงด้วยซ้ำไป ด้วยความที่ไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน และไม่พยายามที่จะเข้าใจกัน โดยเฉพาะในยุคของผู้นำที่มีสโลแกนว่า “ เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย ” กลับกลายเป็นยุคที่เลวร้ายและสร้างความขมขื่นให้กับพี่น้องมุสลิมมากที่สุดเลยก็ว่าได้ จนกลายเป็นบาดแผลที่ยากจะเยียวยา ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วเลวร้ายกว่าในยุคปัจจุบันหลายเท่านัก แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับแผ่นดินปาตานี ความเป็นชาติพันธุ์ของคน ปาตานีก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเขาเหล่านั้นจากชาติพันธุ์มลายูให้เป็นอื่นได้...
...เฉกเช่นเดียวกับคำประกาศอย่างภาคภูมิใจของพี่น้องร่วมชาติไทยอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เขาได้ประกาศว่า “ เราคือคนไทยเชื้อสายจีน ” การประกาศก้องดังกล่าว กลับได้รับการขานรับและ ยกย่องว่า เป็นการแสดงถึงความซื่อสัตย์ที่มีต่อบรรพบุรุษ พี่น้องชาวจีนเหล่านั้นก็ได้ประกาศให้ทราบด้วยว่า พวกเขาเพิ่งอพยพมาสู่ดินแดนนี้ไม่ถึง 100 ปี และ ที่ผ่านมาก็ยังมีบางยุคบางช่วงที่ชาวจีนเหล่านี้ได้เคยร่วมกันก่อกบฏกลางเมืองหลวงและมีการตั้งกลุ่มตั้งแก๊งอิทธิพล จนทางราชการต้องปราบปรามต่อสู้กันมีการเสียชีวิตกันเป็นจำนวนมาก...รู้จักกันในนามว่า “ กบฏอั้งยี่ ” และยิ่งในยุคที่มีการปลุกผีคอมมิวนิสต์ก็ปรากฏว่าพี่น้องชาวจีนบางส่วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรลับใต้ดินต่อต้านรัฐบาลไทย...
ปัจจุบันได้ปรากฏว่ากลุ่มชาวจีนที่เพิ่งอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยไม่ถึง 3ชั่วอายุคน กลับกลายเป็นกลุ่มชนที่มีอิทธิพลและควบคุมเศรษฐกิจเกือบทั้งประเทศ โดยมีคนไทยที่เป็นเจ้าของประเทศเป็นเพียงลูกจ้างและผู้เช่าที่ดินทำกิน ไม่ต่างอะไรกับผู้อาศัย...
ในขณะที่กลุ่มชนซึ่งบรรพบุรุษอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ร่วมเสียเลือดเสียเนื้อปกป้องแผ่นดิน ไม่เคยแม้แต่คิดที่จะมีอำนาจทางการเมือง การทหาร หรือทางเศรษฐกิจ หรือการเป็นพลเมืองที่เหนือกว่าพื่น้องร่วมชาติ...แต่เพียงแค่ความแตกต่างกันทางศาสนากลับกลายเป็นว่าไม่สามารถที่จะประกาศชาติพันธุ์ของตนให้ได้รับรู้ว่า ชาติพันธุ์ที่แท้จริงของตนก็คือ...... คนไทยเชื้อสายมลายู ..........
“ มลายู ” เป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่คู่ดินแดนแหลมมลายูมาอย่างยาวนาน เมื่อได้ย้อนกลับไป
ดินแดนแห่งนี้เคยรุ่งเรืองในด้านอารยธรรม รวมทั้งความเชื่อของศาสนาดั้งเดิม คือศาสนาฮินดู ซึ่งได้รับการเผยแพร่จากกลุ่มพ่อค้าชาวอินเดีย จากนั้นหลังการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าประมาณ 200 – 300 ปี ได้มีพระสงฆ์ 2 รูป คือ พระโสณะกับพระอุตระซึ่งได้รับมอบหมายจาก พระเจ้าอโศกมหาราชให้มาเผยแพร่ศาสนาพุทธ ณ ดินแดนอุษาคเนย์ซึ่งมีการผสมผสานทั้งพุทธและฮินดูในชุมชนเดียวกันมาตลอดกว่า 1200 ปี จนกระทั้งประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 7 ศาสนาอิสลามก็เริ่มถูกนำเข้ามาเผยแพร่โดยพ่อค้าชาวอาหรับ แต่ก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก มีการยอมรับนับถือกันเฉพาะในกลุ่ม หรือตามชุมชนเล็กๆ กระทั้งเมื่อราวศตวรรษที่14 หรือในราว พ.ศ 2043 หรือราว 500 ปีที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ศาสนาอิสลามก็ได้เป็นเสมือนศาสนาประจำดินแดนแห่งนี้ เนื่องจากเจ้าผู้ครองอาณาจักรได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามทำให้พสกนิกรส่วนมากเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามตามไปด้วย จนในที่สุดดินแดนอุษาคเนย์แห่งนี้ได้เป็นดินแดนที่ประชาชนเกือบทั้งหมดเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามภายใต้ชื่อ “ มหานครปาตานีดารุสสลาม ” .....
“ มหานครปาตานีดารุสสลาม ” อันประกอบด้วยจังหวัดปัตตานี ยะลา มือนารา (นราธิวาส) สตูล และบางส่วนของจังหวัดสงขลา ก่อนจะถูกสยามรุกราน ทำลาย แบ่งแยก แล้วปกครองด้วยการกดขี่ข่มเหง เดิมมีชื่อว่า อาณาจักรมลายูปาตานี เคยเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรลังกาสุกะก่อนสลายตัว ฉะนั้นลังกาสุกะเปรียบเสมือนปาตานีโบราณ แล้วก่อเกิด ปาตานีพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงด้วยการรับอารยะธรรมใหม่นั่นคือศาสนาอิสลาม ส่วนสยามนั้น ก่อนที่ชนเผ่าไทยจะผสมกลมกลืน ก็เป็นกลุ่มชนรุ่นเดียวกันกับมลายูลังกาสุกะ แม้จะมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ต่างกันแต่ก็เคยนับถือศาสนาเดียวกัน แล้วสยามคงอยู่ด้วยศาสนาพุทธและมีการผสมกลมกลืนกับชนเผ่าไท จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงทางขนบธรรมเนียม ประเพณีขึ้น มีเอกลักษณ์แห่งการทะเยอทะยานดิ้นรนมากขึ้น เช่นทำสงครามกับเพื่อนบ้านอยู่เนืองๆ ส่วนปาตานีนั้น เมื่อรับอิสลามก็หันเหจากเชิงรุกเช่นสมัยลังกาสุกะมาเป็นแนวสันติธรรม ปรองดอง เสมอภาค มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นมิตรกับทุกประเทศ รวมทั้งสยามประเทศในช่วงที่มีสัมพันธ์ไมตรีนี้เอง เมื่อฝ่ายปาตานีไปเยือนอยุธยาและได้นำของบรรณาการติดมือไปด้วยตามธรรมเนียมของสมัยหนึ่ง และในอีกสมัยหนึ่งนั้น ฝ่ายสยามประเทศถึงกับเรียกร้องให้ส่งของบรรณาการในเชิงบังคับโดยให้เหตุผลว่าปาตานีเคยอ่อนน้อมต่อสยามประเทศมาก่อนโดยได้เคยส่งเครื่องบรรณาการ ถึงแม้ว่าเพื่อความสัมพันธ์ไมตรีก็ตาม นี่คือทัศนคติผิดๆที่ถือกันมาเพื่อเป็นข้ออ้างในการครอบครองปาตานีในเวลาต่อมา...
คนพื้นเมืองชาวสยามนั้น นอกจากจะตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายตามตอนบนคาบสมุทรมลายูแล้ว ส่วนใหญ่จะตั้งถิ่นฐานที่บริเวณภาคกลางของไทยในปัจจุบัน เมื่อชนกลุ่มน้อยเผ่าไทได้ผสมผสานกลมกลืนกับคนพื้นเมืองสยามแล้ว เกิดมีสยามประเทศขึ้นที่บริเวณล้านนา สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และกรุงเทพฯ ส่วนความคิดที่จะมีการเปลี่ยนชื่อจากสยามเป็นไทย นั้น มีขึ้นในสมัย ร.๕ แล้วแต่ถูกเปลี่ยนจริงๆในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และชาตินิยมไทยจึงถือกำเนิดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อแสดงถึงชาติพันธุ์ไทยเหนือชนชาติอื่นๆ เหมือนกับการประกาศของประเทศ ญี่ปุ่นและเยอรมนี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฉะนั้นในเมื่อรัฐไทยรื้อฟื้นการประกาศใช้นโยบายลัทธิชาตินิยมในลักษณะนี้ จึงสมควรเรียกว่านโยบายNeo-Nazi อันหมายถึง การปฏิบัติการโหดฆ่าล้างโคตรชาติพันธุ์อื่นๆ ทั้งด้านภาษา วัฒนธรรมและชีวิต ดังที่ผ่านมา รัฐไทยได้กดขี่ข่มเหงด้วยวิธีการนี้อย่างไร้มนุษยธรรมอย่างเต็มรุปแบบต่อประชาชนชาวล้านนา ล้านช้าง (เชียงใหม่-แพร่-น่าน-ลำพูน) , ประชาชนชาวหลวงพระบางเวียงจัน(ลาว) , ประชาชนชาวกำปงจาม (กัมพูชา) และประชาชนชาวมลายูปาตานี
การเกิดของชาติใดชาติหนึ่งนั้นมิใช่เพื่ออยู่ใต้อำนาจอีกชาติหนึ่งฉันใด ปาตานีก็รักสันติและอิสรภาพฉันนั้น ในการนี้ปาตานีถึงได้ป้องกันประเทศไว้จนถึงวาระสุดท้าย เมื่อปราชัยก็ยังลุกฮือและต่อต้านจนถึงที่สุดเพื่อกำหนดชะตาตนเอง รักษาเกียร์ติและศักดิ์ศรีไว้ตามบทบัญญัติของอิสลาม นานาอารยประเทศ และกฏบัตรของสหประชาชาติ เพื่อระบบอิสลามจะได้กลับมามีบังคับใช้เช่นเดิม เพื่อความผาสุขของชนทุกหมู่เหล่า ณ ปาตานี ดารุสสลาม ฉะนั้น การที่ฝ่ายสยามได้อ้างถึงการอ่อนน้อมด้วยเครื่องบรรณาการนั้นจึงเป็นแค่การประกาศิตเพื่อแสดงบารมีแก่ประเทศเพื่อนบ้านและชาติยุโรปที่กำลังแสวงหาดินแดนในช่วงนั้น โดยพระเจ้ากรุงสยามทรงเคยที่จะยกปาตานีให้ฝรั่งเศสทั้งๆที่ยังไม่ได้ตกเป็นของสยามเลย เหมือนที่อังกฤษเคยปฏิเสธที่จะรับเมืองมะริด (พม่า) ตามข้อเสนอของสยามเพื่อแลกเปลี่ยนกับข้อตกลงบางอย่างโดยอังกฤษให้เหตุผลว่าเมืองดังกล่าวไม่ได้เป็นของสยามเลย ปาตานีเองก็เคยปฏิเสธที่จะส่งเครื่องบรรณาการตามคำสั่งของสยาม แต่ชาวฮอลันดามาไกล่เกลี่ยจึงจำยอมส่งไป มิใช่กลัวจะถูกสยามรุกราน แต่เพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างปาตานีกับบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาซึ่งเคยตั้งสถานีการค้าที่ปาตานีนานถึง 27 ปี แล้วทีสยามประเทศเองก็เคยส่งเครื่องราชบรรณาการไปยังพระเจ้ากรุงจีนนั้น แสดงว่าสยามยอมอ่อนน้อมต่อเมืองจีนด้วยกระนั้นหรือ อย่างไรก็ดี ที่เด่นชัดก็คือ ปาตานีสามารถดำรงไว้ซึ่งเอกราชมาตั้งแต่สมัยนครรัฐสุโขทัยจนถึงนครรัฐธนบุรีของสยาม ครั้นเมื่อกองทัพพระเจ้าตากสินมาประชิดปาตานีที่ เทพา (Tiba) เพื่อขอตัวเจ้าเมืองสงขลาที่กำลังลี้ภัยสยามที่ปาตานีแต่ต้องถอยทัพกลับไปโดยไม่สามารถตีปาตานีได้ ต่อมาในสมัยร.๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (หลังจากได้ประหารชีวิตพระเจ้าตากสินและโอรสทุกพระองค์ ยกเว้นโอรสที่ชื่อว่า “พระองค์เหม็น” เพราะแต่งงานกับลูกสาวร.๑ พระองค์เหม็นมาโดนประหารในสมัยร.๒ และทหารทุกนายที่จงรักภักดีรวมถึงทหารที่ชื่อพระยาพิชัยดาบหักทหารเอกของพระเจ้าตากสิน)ร.๑ก็ยกทัพมาโจมตีปาตานี
ปาตานีเสียกรุงไปในที่สุดในปี ค.ศ1786 เป็นปีเดียวกันที่อังกฤษเริ่มวางรากฐานในดินแดนมลายู โดยเช่าเกาะปีนังจากรัฐเคดาร์ (มาเลเซีย) ตั้งแต่นั้นมาปาตานีถูกบังคับให้ส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองทุกๆ2 ปีครึ่งจนถึงสมัยร.๕ เพื่อสั่งสอนความปราชัยของปาตานีในฐานะผู้แพ้สงครามตามธรรมเนียมของความเชื่อและปรัชญาของศาสนาฮินดูที่สยามได้รับอิทธิพลมาจากการผสมผสานกับชุมชนท้องถิ่น ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ครั้นเมื่อปาตานีสูญเสียอธิปไตย กระบวนการการต่อต้านสยามจึงเกิดขึ้น ปาตานีไม่เคยอ่อนน้อมต่อสยามไม่ว่าก่อนหรือหลังเสียอธิปไตย(โดยไม่ชอบธรรม) กล่าวคือ การได้มาซึ่งการปกครองของสยามต่อปาตานีนั้นด้วยกลอุบายฉ้อโกงเพื่อให้รายออับดุลกาเดร์(ราชาองค์สุดท้าย)ของปาตานียอมรับแผนการที่จะประกาศใช้นโยบายเทศาภิบาล และข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จต่างๆนานาทั้งที่ได้คิดค้นเองและที่ได้รับการยุยงจากอังกฤษเพื่อเอาหน้าตีสนิทกับสยามโดยหวังว่าสยามจะตีตัวออกห่างฝรั่งเศส หลังจากที่รายอปาตานีทรงยกเลิกที่จะเซ็นชื่อยอมรับข้าหลวงร.๕ เป็นที่ปรึกษาของพระองค์ เนื่องจากฝ่ายสยามได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขสำนวนและได้รายงาน(โกหก)ไปยังฝ่ายอังกฤษที่สิงคโปร์ในเชิงตรงกันข้ามว่า ทางรายอปาตานีทรงได้เซ็นชื่อยอมรับนโยบายเทศาภิบาลและอยู่ภายใต้อำนาจสยามแล้ว สยามจึงกดดันปาตานีด้วยการตั้งข้อหากบฏทันทีและมีการกลั่นแกล้งด้วยการให้เหตุผลว่าทางอังกฤษได้เปิดเผยในเชิงความลับ(ที่ไม่มีมูลความจริง)ว่ารายอปาตานีกำลังสะสมอาวุธเพื่อลุกฮือต่อต้านสยามโดยเช่าเรือเยอรมันและจะมีการขนถ่ายที่ฝั่งสตูล กระบวนการบังคับใช้นโยบายเทศาภิบาลโดยใช้กำลังและการผนวกปาตานี(โดยมิชอบ)เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนสยามจึงบังเกิดขึ้น ณ บัดนั้นเป็นต้นมา และหลังจากนั้น พ.ร.ก. กฏหมาย นโยบายต่างๆ ร่วงรินสู่ดินแดนปาตานีดุจดังน้ำฝนตกลงมาที่ทำให้เกิดน้ำท่วม เหมือนดินภูเขาถล่มสู่หมู่บ้านที่ทำให้เกิดความหายนะทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เพราะสิทธิอันชอบธรรมและชาติพันธุ์ของชนชาวมลายูปาตานีได้ถูกปฏิเสธและกีดกันโดยรัฐไทยตลอดมาและตลอดไป
นโยบายอาณานิคมใหม่ของ ร. ๕ และการผนวกดินแดนปาตานีในปีค.ศ 1902 จากการที่สยามประเทศได้กลายเป็น-รัฐกันชน-ถึงกับต้องยกรัฐมลายูต่างๆให้อังกฤษ (ยกเว้นปาตานี) และ อินโดจีนให้ฝรั่งเศสนั้น ฝ่ายสยามคือในสมัย ร.๕ จึงได้ประกาศใช้ระบบเทศาภิบาลเพื่อรวมอำนาจที่เมืองหลวง คือกรุงเทพมหานคร เมืองที่ได้ชื่อว่ามีความศิวิไลซ์ ดินแดนแห่งศาสตร์และศิลป์มีวัฒนธรรมและอารยธรรมที่สืบสานกันมายาวนานนั้น สำหรับชาวปาตานี กรุงเทพฯมีแต่เรื่องราวอันน่าสลดหดหู่ใจ เพราะหลังจากปาตานีถูกเปลี่ยนจากสถานะรัฐใต้บังคับสยาม ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ด้วยกระบวนการนอกกติกาที่ผิดกฏมนุษยธรรม เช่นจำคุกราชาปาตานีและราชาหัวเมืองอื่นๆ ( "การปฏิรูป" การปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่มีการตั้ง "มณฑลเทศาภิบาล" (ส่งข้าราชการจากกระทรวงมหาดไทยส่วนกลางไปปกครองแทน) ประเด็นหลักของ "การปฏิรูป" คือการยกเลิกความเป็นอิสระในการปกครองท้องถิ่น ยกเลิกศักดิ์และสิทธิ์ของบรรดาเจ้าเมือง "ประเทศราช" ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่หรือเจ้าเมืองต่างๆ ในล้านนา (แพร่ น่าน ลำพูน ฯลฯ) หรือในภาคอีสานก็ตามถูกยกเลิก ดังนั้นวงศ์ของสุลต่านปัตตานีก็ถูกยกเลิกไปด้วย (ราชาอับดุลกาเดร์สุลต่านปัตตานีองค์สุดท้ายถูกจับไปกักขังที่พิษณุโลก แต่วงศ์สุลต่านของเคดะห์ กลันตัน ตรังกานู ฯลฯ ยังคงมีอยู่เนื่องจากที่รัฐฯ เหล่านั้น ตกไปอยู่ในครอบครองเป็น "เมืองขึ้น" ของอังกฤษตามข้อตกลงกับราชสำนักรัตนโกสินทร์ของรัชกาลที่ ๕ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ) มีการปล้นสะดมทรัพย์สินชาวบ้าน ข่มขืนสตรี ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เหมือนกับพฤติกรรมของกองทัพญี่ปุ่นที่กระทำการย่ำยีในจีนสมัยสงครามโลกครั้งที่๒ ...
ปาตานีถูกย่ำยีเพราะรายอปาตานีขัดขืนและปฏิเสธที่จะอยู่ใต้อำนาจสยามโดยบริบูรณ์ โดยเฉพาะใต้อำนาจข้าหลวงที่จะมาประจำที่ปาตานีตามนโยบายเทศาภิบาลดังกล่าว ทั้งนี้รายออับดุลกาเดร์ทรงเห็นการณ์ไกลว่าต่อจากนี้ไปชาวปาตานีจะประสบแต่ความหายนะและภัยพิบัติตลอดไปจนกว่าชาวปาตานีจะสามารถกอบกู้เอกราชกลับคืนมาหรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า...การกำหนดชะตาของตนเอง (self-determination )
ดังนั้น การมีเชื้อสายมลายูและกล้าที่จะประกาศตัวต่อสังคมว่า “ ฉันเป็นคนมลายู” นั้นจึงไม่ใช่เป็นการท้าทาย ไม่ใช่เป็นการสร้างปัญหา ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เกิดความหวาดระแวง แต่กลับเป็นการแสดงให้เห็นถึงความจริงใจและภูมิใจ ถึงแม้ว่าเขาจะทราบดีว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปนั้นอาจทำให้เขาไม่ได้รับความไว้วางใจ หรือ อาจจะเกิดพิษภัยขึ้นกับตัวเอง ครอบครัว ญาติพี่น้องทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่มุสลิมทุกคนจะต้องกล้าพูดความจริงต่อหน้าผู้ปกครอง ถึงแม้มันจะขมขี่นสักปานใดก็ตาม
อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ได้เคยกล่าวถึง 3 จว.ชต.ไว้ว่า
"หนึ่ง-เราต้องยอมรับความจริงนะครับว่าเรารังแกเขามา 200 ปี และเรารังแกครั้งล่าสุดเมื่อรัชกาลที่ 5 เลิกตำแหน่งรายาปัตตานี จับเขามาขังไว้ที่นครสวรรค์ เขาต้องการศักดิ์ศรีไม่น้อยไปกว่าเรา ปัตตานีเขาเคยเป็นเอกราช “ปืนใหญ่ นางพญาตานี”ที่เราเอาเขามา เหมือนที่เราเอา “พระแก้วมรกต”มาจากเมืองลาวเลยนะครับ(และล่าสุดเราก็เอา “เพชรบลูไดมอน”มาจากราชวงค์ซาอุดี้-ผู้เขียน) เราต้องรู้สึกว่าเราทำผิด และเราสามารถพูดกับเขาได้ อ.ปรีดีพูดกับหะยีสุหลงแล้วว่า รัฐบาลประชาธิปไตยจะให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นตัวของตัวเอง ให้ใช้ภาษายาวีเป็นภาษาหลักเท่าภาษาไทย ให้เรียนศาสนาอิสลาม ไม่จำเป็นต้องเรียนศาสนาพุทธ และกฎหมายครอบครัวให้ใช้กฎหมายอิสลาม พอ อ.ปรีดีไป หะยีสุหลงถูกฆ่าเลย.. เลือกวิธีนี้ก็ยังไม่ช้าเกินไป เจรจาได้เลย"
"สอง-3จังหวัดภาคใต้เขาเป็นมุสลิม แล้วพวกมุสลิมเขาจะไม่ช่วยกันหรือครับ อย่าไปนึกนะครับว่ามาเลเซียเขาต้องการเอาไปเป็นของเขา เขาไม่ต้องการ และพวกนั้นก็ไม่ต้องการไปอยู่ใต้มาเลเซีย เพราะไปก็เป็นลูกเมียน้อยเขา ฝรั่งมีภาษิตว่า the devil we know better than the devil we do not know. เขายินดีอยู่กับเราถ้าเราให้เกียรติเขา ไม่รังแกเขา..........”
"รัฐประหาร 2490" ที่นำจอมพล ป. พิบูลสงคราม พร้อมทั้งจอมพลผิน ชุณหะวัณ และพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ฝ่ายอำนาจนิยมและอนุรักษ์นิยมกลับมาครองอำนาจใหม่ ข้อเสนอและบทบาทของ "หะยีสุหลง" ถูกกล่าวหาว่าเป็น "กบฏ" ต้องการ "แบ่งแยกดินแดน" ตัวท่าน, คนสนิทและลูกชายคนโตก็ "ถูกอุ้ม" หายไป (ถูกฆ่าด้วยการจับมัดใส่กระสอบนำไปถ่วงน้ำที่ด้านหลังเกาะหนูจ.สงขลา และข้อหาทำนองนี้ ก็ถูกขยายไปครอบคลุมและทำลายชีวิตของ 4 อดีตรัฐมนตรีอีสานด้วย คือ ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ (อุบลราชธานี) จำลอง ดาวเรือง (มหาสารคาม) ถวิล อุดล (ร้อยเอ็ด) และเตียง ศิริขันธ์ (สกลนคร) ในปี พ.ศ. 2492)
“รัฐประหาร19 กันยายน 2549” ที่นำพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์
นายกฯสมัคร สุนทรเวช ,นายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ(ปัจจุบัน) ฝ่ายอำนาจนิยมและอนุรักษ์นิยมกลับมาครองอำนาจใหม่เหมือนเมื่อ" รัฐประหาร 2490 " วังวนเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า ประชาชนในสามจังหวัดกับสี่อำเภอของด้ามขวานทองก็ยังคงฆ่ากันตายทุกเมื่อเชื่อวันอย่างไม่มีวันจบสิ้นกระนั้นหรือ

ฉันชื่อ ยูฮารี บิน อิสมาแอล เลาะนะ ฉันเป็นคนมลายูมุสลิมโดยกำเนิด ฉันเกิดที่จังหวัดนราธิวาส ป๊ะของฉันเป็นคนจังหวัดปัตตานี เรียนหนังสือจบแค่ปอ 4 ภาษาไทยพออ่านออก เขียนได้บ้าง พูดไม่ค่อยชัด ม๊ะของฉันเป็นคนจังหวัดยะลา ไม่เคยเรียนหนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ พูดเป็นแต่ภาษายาวีแต่ฟังภาษาไทยพอรู้เรื่อง ม๊ะมีเพื่อนสนิทชื่อ “น้อย”เป็นคน มลายูพุทธ น้อยที่พูดเป็นแต่ภาษาไทยแต่ฟังภาษายาวีพอรู้เรื่อง ภาพที่ฉันเห็นจนชินตาเป็นภาพของผู้หญิงสาวสองคนพูดคุยโต้ตอบกัน บางครั้งก็หัวร่อต่อกระซิกกัน บางครั้งก็ถกเถียงกันเสียงดังลั่นบ้าน สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ผู้หญิงคนหนึ่งพูดภาษายาวี...อีกคนพูดภาษาไทย ภาพนี้ยังคงติดตาตรึงใจของฉันตลอดมาถึงแม้วันเวลาจะล่วงผ่านมาเกือบสี่สิบปีแล้วก็ตาม... .....อีกภาพหนึ่งที่ฉันเห็นจนชินตามาจนถึงทุกวันนี้คือ คนตาย ตั้งแต่เด็กฉันเห็นคนตายทุกวัน เขาจะเอาศพคนตายจากการถูกยิงหรือโดนระเบิดมาวางไว้ที่สนามหญ้าหน้าที่ว่าการอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาสทุกวันบางวันศพเดียวบางวันก็หลายศพ พวกเราเด็ก(ผู้ชาย)ชอบไปยืนออกันดูศพและเงี่ยหูฟังพวกผู้ใหญ่เล่าเรื่องการปะทะยิงต่อสู้กับโจรแขก(แบ่งแยกดินแดน)ด้วยความตื่นเต้นผสมกับความกลัวทุกครั้งไป...
และเมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา(พ.ศ.๒๕๒๙)ฉันได้เห็นคนตายที่หน้าอำเภอแว้งอีกครั้ง ครั้งนี้คนตายเป็นโจรแขก(แบ่งแยกดินแดน)ระดับหัวหน้าสาขามีชื่อเรียกว่า มะดาโอ๊ะแว้ง ฉันยืนมองดูใบหน้าศพอย่างเพ่งพินิจ รูปหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากนักยังคงมีเค้าเหมือนครั้งก่อน คล้ายเมื่อตอนที่ยังมีชื่อนำหน้าว่าเด็กชายมะดาโอ๊ะ เรียนอยู่ปอ ๕/๓ ร.ร บ้านแว้ง นั่งโต๊ะติดกันกับโต๊ะของเด็กชายยูฮารี...
จากวันนั้นถึงวันนี้ฉันก็ยังเห็นคนตายทุกวันเหมือนเมื่อสมัยเด็กๆอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
ฉันเห็นตำรวจถูกยิงตาย
ฉันเห็นทหารถูกฆ่าตัดคอต่อหน้าต่อตา
ฉันเห็นคนมลายูถูกมัดมือมัดเท้านอนตายกองทับถมกันบนรถบรรทุกทหาร
ฉันเห็นพระที่กำลังบิณฑบาตโดนระเบิดตายอยู่ริมถนน
ฉันเห็นมุสลิมที่กำลังละหมาดถูกกราดยิงตายสิบศพเลือดใหลนองมัสยิด
และล่าสุด ฉันเห็นตำรวจร้องไห้คุกเข่ากราบขอชีวิตกับหัวหน้า ก่อนที่หัวหน้าจะชักปืนออกมายิงตำรวจคนนั้นตายคาที่ แล้วควักเงินและดาวออกมาโปรยใส่ศพ..หันหลังเดินจากไป...
ฉันขอวิงวอนต่อองค์อัลลอฮ. โปรดประทานปัญญาในการแก้ไขปัญหาที่ฉันเห็นคนตายมาตลอดชีวิตของฉัน ถึงแม้คนสุดท้ายที่กล้าเสนอยาหยอดตาต้องไปนอนอยู่ที่ก้นทะเลสาบสงขลานานถึง 60 กว่าปีมาแล้วก็ตาม ฉันก็คงต้องเดินหน้ายื่นข้อเสนอต่อหน้าผู้ปกครองอีกสักครั้งเพียงเพราะว่า...
“ เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอนมัสการ และ เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ ”
.................................................................................
ข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบ
ในจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส
1. ขอให้รัฐบาลต่ออายุพ.ร.ก บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเฉพาะในจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส ต่อไปอีกจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554
2. ออกกฏหมายพิเศษห้ามกิน ห้ามดื่ม ห้ามผลิต ห้ามจำหน่ายสุรา และน้ำเมาทุกชนิด
เฉพาะในจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส
3. ออกกฏหมายพิเศษห้ามสูบ ห้ามดื่ม ห้ามผลิต ห้ามจำหน่ายบุหรี่, ใบจาก,ยาเส้น และสิ่งเสพติดทุกชนิดเฉพาะในจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส
4. ออกกฏหมายพิเศษ ห้ามผลิต ห้ามจำหน่ายสลากกินแบ่งทุกชนิด ล็อตเตอรี หวยทุกอย่าง จับยี่กี ล๊อตโต้ และการพนันทุกชนิด เฉพาะในจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส
5. ออกกฏหมายพิเศษห้ามอาชีพโสเภณี ห้ามสื่อยั่วยุทางกามารมณ์ และห้ามบริการทางเพศทุกชนิด เฉพาะในจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส
6. ผู้ใดละเมิดหรือทำผิดกฏหมายพิเศษฉบับนี้จะต้องถูกดำเนินคดีอย่างเข้มงวดและถูกลงโทษอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีอุทรณ์ใดๆทั้งสิ้น
7. โทษของผู้กระทำผิดกฏหมายพิเศษ ต้องถูกจำคุกเป็นเวลา 10 ปีเต็ม หรือ จะเลือกการถูกเนรเทศออกจากสามจังหวัดพร้อมกับถูกยึดทรัพย์สินทุกอย่างให้ตกเป็นของสามจังหว้ด
8. กฏหมายพิเศษฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป.
9. กรุณาส่งคืน “ปืนใหญ่พญาตานี” มาไว้ที่ “พระราชวังกรือเซะ”เดิม ด้านหน้ามัสยิดกรือเซะ.
พวกเรามาช่วยกันสร้างเมืองปาตานีดารุสสลามขึ้นมาใหม่ เป็นเมืองในฝันของคนที่มีศาสนา เมืองที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีประชาชนหลากอาชีพหลายศาสนาอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองอย่างแท้จริง(ลองนึกภาพดูซิว่าในสามจังหวัด ปัตตานี ยะลา นราธิวาส มีกฏหมายพิเศษ ห้ามขายน้ำเมา ห้ามขายบุหรี่สารเสพติดทุกชนิด ห้ามโสเภณี ห้ามขายหวยล็อตเตอรีเสี่ยงโชค การพนัน สำหรับใคร คนใหนที่ชีวิตขาดสิ่งเหล่านี้ไม่ได้กรุณาอพยพออกจากเมืองนี้ได้เลย พวกเราจะสนับสนุนการแต่งงานและเชิดชูสถาบันครอบครัวเป็นหลัก และพวกเรายินดีต้อนรับทุกคนที่เคารพและให้เกียรติ์ในเรื่องศาสนา) เราจะขอพรให้ดินแดนแห่งนี้มีความสงบสุขร่มเย็นภายใต้ศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ อัลลอฮ์ (ซ.บ) และการดำเนินชีวิตตามรอยจริยวัตรที่ดีงามของศาสดา มูฮำมัด (ซ.ล)
ด้วยความเมตตาของ อัลลอฮ์ (ซ.บ) เราขอวิงวอนให้ความฝันเป็นจริงด้วยเถิด....อามีน.
หมายเหตุ ! ขอเชิญชวนทุกท่านที่มีความฝันเดียวกัน ทั้งหญิง-ชาย-คนแก่และเด็กออกมารวมตัวกันที่หน้าศาลากลางจังหวัด หรือที่หน้าว่าการอำเภอทุกอำเภออย่างสงบ สันติ
หลังการละหมาดวันศุกร์และให้ผู้นำกลุ่มนำอัตชีวประวัติของท่านนบีมูฮำมัด(ซ.ล)มาเล่าให้ทุกคนฟังและจบการชุมนุมด้วยการอ่านจดหมายฉบับนี้ก่อนจะแยกย้ายกันกลับเมื่อถึงเวลาละหมาดอัสรี เราจะชุมนุมอย่างสงบ สันติทุกวันศุกร์จนกว่าทางรัฐบาลจะให้คำตอบ...
ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่าน
ยูฮารี บิน อิสมาแอล เลาะนะ
(อนุญาติให้เผยแพร่เอกสารฉบับนี้ทุกภาษาและทุกช่องทางของเทคโนโลยีสมัยใหม่)
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: ILHAM Date: เม.ย. 07, 2010, 09:56 PM
^
เข้าใจครับ
150 274 InsyaAllah
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: a d n a n Date: เม.ย. 08, 2010, 05:06 PM
^
เข้าใจครับ
150 274 InsyaAllah
ู^
150 274 
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: ILHAM Date: เม.ย. 08, 2010, 05:35 PM
^
เข้าใจครับ
150 274 InsyaAllah
ู^
150 274 
150 = 80+9+1+50+10
274 = 40+200+4+10+20
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: ILHAM Date: เม.ย. 08, 2010, 05:36 PM
ตีความเอาเองนะ ดูบริบทแล้วไม่น่าจะยาก ใบ้ให้สุดๆแล้วนั่น
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: a d n a n Date: เม.ย. 08, 2010, 05:52 PM
ขี้เกียจคิดอ่ะ ไม่รู้จริง ๆ ขี้เกียจอ่านด้วย (ข้อความข้างบน มันลายตา) 
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: ILHAM Date: เม.ย. 08, 2010, 05:57 PM
ขี้เกียจคิดอ่ะ ไม่รู้จริง ๆ ขี้เกียจอ่านด้วย (ข้อความข้างบน มันลายตา) 
ระวังเส้นหยักในสมองจะลดลงนะ
ใบ้ให้อีกก็ได้
http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=5481.msg67989#msg67989
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: a d n a n Date: เม.ย. 08, 2010, 06:11 PM
จริง ๆ ก็นึกถึง 786 เป็นตัวแรก ว่าจะลองเอามา mix ๆกันดู แต่ไอเรามันก็ไม่เป็นอาหรับด้วยสิ่ ไม่ได้เรียงอย่าง A B C D นิ่ ... เลยถามเลยดีก่าเหอะๆๆ ยาเฮลจริงๆๆตรู ไม่รู้เรื่องอยู่ดี
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: ILHAM Date: เม.ย. 08, 2010, 06:13 PM
ดีแล้วล่ะครับ มากกว่าไปกว่านี้สาว่าจะไม่ค่อยดี
Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: aku malayu Date: เม.ย. 09, 2010, 03:26 PM
salam
ขอความเห็นหน่อยครับ จากบทความ"เพราะคุณคือ มลายู" คือผมไม่อยากตายไปโดยไม่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมุสลิมมลายูเลย
ผมขอแค่ไอเดียก็ได้ว่าจะแก้ไขยังไง สำเร็จหรือไม่อยู่ที่อัลลอฮขอรับ ใช้หมองหน่อยอาเดะ-กาเก๊าะ

Re: เรื่องที่ฉันอยากเล่า... By: ILHAM Date: เม.ย. 09, 2010, 04:41 PM
^
ขอแสดงความเห็นนะ อย่างแรกเลย ไปแก้ไขที่ตัวคุณเองก่อน ไปเรียนภาษาใหม่ ขนาดคำว่า มลายู ยังเขียนเป็นรูมีผิด แล้วจะแสดงเอกลักษณ์แห่งชาติพันธุ์มลายูได้ยังไง เสียชื่อหมดเลยนิ ในบอร์ดนี้มลายูเยอะนะ อย่าทำให้คนๆเดียวเสียชื่อหมดสิ ถ้าตัวเองยังไม่ดีพอ อย่าหวังจะไปเปลี่ยนคนอื่น เข้าใจแล้วยัง